นายเลิศพงษ์ ศรีวงศ์ทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี. อาร์. อินดัสเตรียล จำกัด ผู้บริหารรุ่นที่ 2 เปิดเผยว่า กว่า 30 ปี ที่บริษัทเป็นผู้ผลิตงานหล่อหลอมเหล็ก หล่ออะลูมิเนียมซิงค์ทองแดง ทองเหลืองและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ท่อร้อยสายไฟสำหรับท่อร้อยสายไฟเหล็กชนิดท่อบาง EMT ท่อหนา IMC และท่อหนาอาบสังกะสี RSC ภายใต้แบรนด์สตีลซิตี้ (STEEL CITY) เพื่อตอบโจทย์การออกแบบระบบท่อร้อยสายไฟทั้งบ้านพักอาศัย, โรงงานอุตสาหกรรม งานงานติดตั้งโครงการขนาดใหญ่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะงานติดตั้งโรงผลิตไฟฟ้านครหลวง สนามบินสุวรรณภูมิ โครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ตลอดจนศูนย์การค้า โครงการที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักอาศัย ซึ่งสินค้าของสตีลซิตี้ได้รับความเชื่อมั่นจากคู่ค้า ด้านคุณภาพที่ได้มาตรฐานเดียวกับที่สากลยอมรับ ยิ่งกว่านั้นบริษัทยังมีไลน์ผลิตภัณฑ์มากกว่า 3,000 รายการซึ่งมีความหลากหลายเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด

อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์โควิด -19 ส่งผลต่อธุรกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการลงทุนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการชะลอตัวลงอย่างมาก ในเวลาเดียวกันผู้ประกอบการบางรายหันไปลดต้นทุนโดยการเลือกใช้ท่อร้อยสายไฟพลาสติก ซึ่งราคาถูกกว่าหลายเท่าแต่ข้อเสียคือท่อพลาสติกเป็นวัตถุไวไฟ หากเกิดกระแสไฟฟ้ารัดวงจรทำให้ลุกลาม เป็นต้น

ทำให้ล่าสุดบริษัทใช้โอกาสนี้เน้นการประชาสัมพันธ์และโฆษณาแบรนด์ให้ความรู้และสร้างความน่าเชื่อถือผ่านช่องทางโซเชี่ยลมีเดีย โดยจัดทำคอนเทนต์ต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ใน Steel City Thailand บนเฟซบุ๊กและรายการ STEELMAN ของ Steel City Thailand ผ่านช่องยูทูบให้ความรู้และความเข้าใจกับผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องซึ่งกระแสตอบรับที่ดี

ในขณะเดียวกันในแง่การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังเติบโตได้อีกมาก ทำให้บริษัทได้วางงบลงทุน 3 ปี (2563-2565) ไว้ที่ 500 ล้านบาท โดยใช้กระแสเงินสดของบริษัทสำหรับลงทุนโรงชุบสังกะสีร้อน ในย่านบางพลี เพื่อควบคุมคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานของบริษัท จากที่ผ่านมาบริษัทว่าจ้างโรงงานภายนอก ตลอดจนขยายลงทุนเตาหลอมเหล็กเพิ่มขึ้น 2 เท่า เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตท่อร้อยสายไฟเหล็กจาก 150 ตัน เป็น 300 ตัน/เดือน เพื่อรองรับความต้องการทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ขณะที่แนวโน้มยอดขายปีนี้คาดว่าจะทำได้เพียง 200 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะทำได้ 450 ล้านบาท และต่ำกว่าปี 2562 ที่ทำได้ 270 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุน 20 ล้านบาท ขยายสู่การผลิตชุดเครื่องครัว ภายใต้แบรนด์คุโรพ (KURO) ที่ใช้วัสดุจากเหล็กหล่อ ซึ่งมีจุดขายที่ดีต่อสุขภาพ เมื่อเทียบกับสินค้าเครื่องครัวในตลาดส่วนใหญ่เน้นใช้สารเคลือบซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายในระยะยาว โดยจะเปิดตัวได้ในเดือนม.ค.-ก.พ. 2564 เบื้องต้นจะมีสินค้า อาทิ กระทะเหล็ก หม้อ เตาปิ้งย่าง เตาบาบีคิว โดยปัจจุบันเริ่มผลิตเตาย่างให้ร้านซูกิชิแล้ว ซึ่งการขยายการผลิตเครื่องครัวในครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดจากพื้นฐานธุรกิจเหล็กที่บริษัททำอยู่ อีกทั้งยังมองเห็นโอกาสในการทำตลาดด้วย โดยเฉพาะสามารถแข่งขันด้านราคากับผู้เล่นรายเดิมในตลาดที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากคุโระ ราคาจะเริ่มต้นที่ 2,000 บาท ส่วนช่องทางการจำหน่ายปีแรกจะขายผ่านออนไลน์ โดยแผนการตลาดจะใช้เชฟชื่อดังรวมถึง KOL เป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ เพื่อสร้างคอนเทนท์ ผ่านโซเชี่ยลมีเดีย โดยตั้งเป้ายอดขายปีแรก 15 ล้านบาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน