หอการค้าไทย ประเมิน คนละครึ่ง-ช้อปดีมีคืน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 1 แสนล้าน ช่วยดึงจีดีพี ไตรมาส 4

ชี้คนละครึ่ง-ช้อปดีมีคืนปลุกศก. – นายธนวรรธ์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจไทยปัจจุบันว่า จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาลทั้งโครงการช้อปดีมีคืน และโครงการคนละครึ่ง ถือเป็นนโยบายที่ที่ดีตอบโจทย์และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 4 ไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท โดยเป็นเม็ดเงินจากโครงการคนละครึ่งราว 60,000 ล้านบาท และช้อปดีมีคืน 30,000-50,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจในไตรมาส 4 ขยายตัวได้ 0.7% ถึง 1% ทำให้ทั้งปีเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ลบ 7%-7.5% ปรับตัวดีขึ้นจากคาดการณ์เดิมอยู่ที่ลบ 7.8%

ทั้งนี้ หากมีการต่อโครงการคนละครึ่งระยะที่ 2 เชื่อว่า จะเกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่ายท้องถิ่นได้ไม่น้อยกว่า 60,000 ล้านบาท ส่วนการรับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกให้ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม หอการค้าไทยประเมินเศรษฐกิจไทยจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 และฟื้นตัวได้ในปี 2564 ทั้งนี้ หอการค้าไทย จะมีการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ และเศรษฐกิจปี 2564 อีกครั้งในเดือนธ.ค. เพื่อเป็นการส่งสัญญาณหลังรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ไปแล้ว

นอกจากนี้ หอการค้ายังได้ทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค. 2563 พบว่า ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 50.2 มาอยู่ที่ระดับ 50.9 สะท้อนความมั่นใจของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2563 ติดลบ 7.7% หดตัวน้อยลงเพราะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าปรับตัวดีขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกไทยในอนาคต

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนเพิ่มมากขึ้นเห็นได้จากดัชนีความเหมาะสมในการซื้อรถยนต์คันใหม่ปรับตัวดีขึ้นอีกครั้งอยู่ในระดับ 50.9 จากเดือนก.ย. ที่ระดับ 45.8 และยังพบว่าดัชนีความเหมาะสมในการซื้อบ้านหลังใหม่ในปัจจุบันก็ปรับตัวดีขึ้นอีกครั้งอยู่ที่ระดับ 34.4 จากเดือนก.ย. ที่อยู่ในระดับ 30.4 ขณะที่ดัชนีความเหมาะสมในการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวในปัจจุบันก็ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 45.6 จากระดับ 42.0 ในเดือนก.ย. รวมทั้งมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจทั้ง มาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ช้อปดีมีคืน และคนละครึ่ง เชื่อว่าจะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจปีนี้ได้

นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า แต่อย่างไรก็ดี แม้ดัชนีจะปรับตัวดีขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ระดับ 100 เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้นอีกครั้งสู่ระดับ 43.9 จากระดับ 42.9 ในเดือนก.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำโดยรวม 49.0 จากระดับ 48.2 ในเดือนก.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต 59.9 จากระดับ 59.4 ในเดือนก.ย. โดยปรับตัวขึ้นทุกรายการ แต่การที่ดัชนียังคงต่ำกว่า 100 อย่างมากแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากมีความกังวลต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและไทยเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 และโดยเฉพาะดัชนีความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองปรับตัวต่ำสุดในรอบ 170 เดือน หรือ 14 ปี 2 เดือนนับแต่เดือนก.ย. 2549 คือลดลงมาอยู่ที่ระดับ 24.7 จากเดือนก.ย. ที่ผ่านมาที่อยู่ในระดับ 29.3

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ การระบาดของโควิด-19, ค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังทรงตัวในระดับสูง, ค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่า และสหรัฐตัดสิทธิพิเศษทางภาษี (จีเอสพี) สินค้าไทย 231 รายการ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน