บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ เซ็นทรัลพัฒนา รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2563 ยังคงมีกำไร โดยมีรายได้รวม 7,599 ล้านบาท ลดลง 19% และกำไรสุทธิ 2,481 ล้านบาท ลดลง 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้าอย่างมาก ในขณะที่ภาพรวมงวดเก้าเดือนของปี 2563 ถือว่าบริหารจัดการได้ดี โดยผลการดำเนินงานรวมตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ย. 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวม 23,753 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 7,540 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินงานเพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งมีการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และล่าสุดได้รับเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) โดยเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกและรายเดียวในประเทศไทยในกลุ่ม DJSI World เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน และ DJSI Emerging Markets เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน พร้อมเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งได้ศึกษาโอกาสกระจายการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพื่อการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

น.ส.นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยงของเซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า สถานการณ์ในไตรมาส 3 เริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้น โดยจำนวนทราฟฟิกผู้มาใช้บริการศูนย์ฯ ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยอดขายของร้านค้าภายในศูนย์ฯ ก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี โดยปัจจุบันทราฟฟิกศูนย์ฯ ส่วนใหญ่กลับมาแล้วมากกว่า 85% ของระดับปกติ โดยบางสาขาในต่างจังหวัดทราฟฟิกกลับมาเกือบ 100% แล้ว

สำหรับผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2563 บริษัทฯ ยังคงมีกำไร แม้จะลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีการปิดศูนย์ฯ ชั่วคราวจากมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐ ในขณะที่ภาพรวมงวดเก้าเดือนของปี 2563 ถือว่าบริหารจัดการได้ดี ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการความสะอาดปลอดภัยเชิงรุก ที่เพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้าและผู้มาใช้บริการ พร้อมทั้งมีการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน และรักษาความสามารถในการทำกำไรอย่างสุดความสามารถ อีกทั้งกระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภคผ่านกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ โดยยังคงรักษาผลประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน และยินดีให้ความช่วยเหลือผู้เช่าภายในศูนย์การค้าทุกรายในระดับที่เหมาะสม

สำหรับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในอนาคต บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าแผนธุรกิจท่ามกลางความท้าทายที่มีอยู่ อาทิ กระแสธุรกิจออนไลน์และเศรษฐกิจดิจิตอล และการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคหลังจากเกิดเหตุการณ์ โควิด-19 เป็นต้น โดยมีการติดตามสภาวะการดำเนินธุรกิจอย่างใกล้ชิด พร้อมปรับแผนกลยุทธ์ของธุรกิจให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และศึกษาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจที่มีอยู่ เพื่อให้ธุรกิจของบริษัทฯ สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปได้ในอนาคต

ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนา บริหารจัดการศูนย์การค้า 34 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 1.8 ล้านตารางเมตร (อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 18 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์อาหาร 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 15 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL PAHOL 34 และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN พิษณุโลก (ทาวน์โฮม) นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) โครงการนิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) และโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ได้แก่ นีรติ เชียงราย และนีรติ บางนา โดยโครงการดังกล่าวได้รวมส่วนที่บริหารจัดการโดยบริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND ที่เซ็นทรัลพัฒนา เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ และเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ที่ดำเนินการแล้ว และสินทรัพย์ที่รอการพัฒนาอยู่บนทำเลศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ

เซ็นทรัลพัฒนา ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ตามแผนระยะยาวที่วางไว้ โดยโครงการมิกซ์ยูสที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา และเซ็นทรัลพลาซา ศรีราชา (กำหนดเปิดปี 2564) เซ็นทรัลพลาซา จันทบุรี (กำหนดเปิดปี 2565) และโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) บนทำเลทอง “ซูเปอร์คอร์ ซีบีดี” ในกรุงเทพฯ โดยจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2566-2567 เป็นต้นไป

สำหรับแผนการลงทุนและเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 2563-2567) บริษัทฯ ได้มีการปรับแผนการลงทุน และแผนพัฒนาโครงการใหม่ที่ยังไม่ได้ประกาศ ทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน บริษัทฯ ยังคงศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน