วันที่ 18 พ.ย. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ทางวิทยุคลื่นเอฟเอ็ม 101 กรณีครม.นำวาระการพิจารณาต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กับบริษัทบีทีเอส อีก 30 ปี ว่า เป็นการบริหารราชการที่ส่อพิรุธ เพราะการนำเสนอเข้าที่ประชุมครม.ดังกล่าวดำเนินการเป็นวาระจร เนื้อหาคือการต่อสัมปทานให้กับบีทีเอส อีก 30 ปี ทั้งที่สัมปทานยังเหลืออยู่อีก 10 ปี เท่ากับว่าบีทีเอส จะได้บริหารสัมปทานทั้งหมด 40 ปี ยังเป็นเรื่องดีที่ครม.ยังไม่มีมติอนุมัติ เพียงให้กระทรวงมหาดไทยกับคมนาคมไปพิจารณาเสนอเข้ามาใหม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องจับตา
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวมีข้อสงสัยอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาฯ ที่มีมติชัดเจนแล้วว่าไม่เห็นด้วยกับการต่อสัมปทานบีทีเอส เนื่องจากสัมปทานเดิมยังเหลืออยู่อีกถึง 10 ปี ไม่มีความจำเป็นใดๆ และยังเสนอด้วยว่าเมื่อหมดสัมปทานก็ควรประมูลใหม่ ให้เกิดการแข่งขัน เพื่อประโยชน์จะได้ตกอยู่ที่ประชาชนได้ใช้รถโดยสารที่ค่าบริการถูกลง แต่ในหลักการที่เสนอกลับให้ยึดค่าโดยสาร 65 บาทตลอดสาย ทั้งที่เทียบกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่มีผู้โดยสารน้อยกว่า คิดค่าบริการตลอดสายเพียง 42 บาทเท่านั้น แต่เอกชนก็ยังมีกำไร
ส.ส.มหาสารคาม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การเสนอต่อครม. กลับอ้างถึงการใช้อำนาจตามม.44 ที่ยกเว้นการใช้พรบ.ร่วมทุนรัฐเอกชน ส่งผลให้เกิดข้อสงสัยในความโปร่งใสต่อการบริหารงาน และไม่มีการประเมินทรัพย์สินระหว่างรัฐและเอกชน แล้วจะตกลงแบ่งผลประโยชน์กันอย่างไร ซึ่งสุดท้ายแล้วประชาชนผู้เสียภาษีก็ต้องมาแบกรับภาระเหล่านี้
“เรื่องนี้มีข้อสงสัยมาตั้งแต่ต้น เดิมส่วนต่อขยายสายสีเขียว อยู่ในความรับผิดชอบของรฟม. ทั้งการขยายไปถึงคูคต จ.ปทุมธานี และเคหะบางปู จ.สมุทรปราการ ซึ่งไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของกทม. แต่กลับไปรับมาดูแล พร้อมรับภาระหนี้ 4.5 หมื่นล้านบาท แล้วก็ใช้วิธีต่อสัมปทาน 30 ปี เพื่อให้บีทีเอสรับภาระหนี้แทน รวมทั้งการอ้างว่าไม่มีเงินจ้างเดินรถ จนเป็นหนี้ 8 พันล้านบาท จนเอกชนขู่หยุดวิ่ง เหมือนเอาประชาชนไปเป็นตัวประกัน จึงต้องถามว่าแล้วเงินค่าโดยสารที่เก็บไปตลอดนั้นไปอยู่ที่ไหน”นายยุทธพงศ์ กล่าว และว่า ทั้งนี้แม้ว่าครม.จะยังไม่อนุมัติ แต่เชื่อว่าจะถูกเสนอเข้าครม.ใหม่อีกแน่นอน ซึ่งในฐานะฝ่ายค้านจะจับตาดู เพื่อรักษาประโยชน์ของประชาชนคนกทม. ต่อไป