ธนาคารไทยพาณิชย์ชี้ข่าวดีปี’64 จีดีพีโต 3.8% – แต่ระวังข่าวร้าย 3 แผลเป็น ปิดกิจการพุ่ง-ว่างงานเพิ่ม-หนี้ครัวเรือนสูง

ไทยพาณิชย์ชี้ปี’64จีดีพีโต3.8% – นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence Centre (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2564 จะขยายตัวได้ 3.8% ปรับเพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3.5% ภายใต้สมมุติฐานว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาที่ 8 ล้านคน

ส่วนปี 2563 นี้ ปรับประมาณการณ์ดีขึ้น โดยติดลบ 6.5% จากที่เคยประมาณการณ์ไว้ที่หดตัว -7.8% เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านผ่าน 4 โครงการ เราเที่ยวด้วยกัน ช้อปดีมีคืน คนละครึ่ง และโอนเงินให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยเฉพาะไตรมาส 4 สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.53% ของจีดีพี

อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจปีหน้าจะฟื้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยังต้องพึ่งพาการประคับประคองจากนโยบายของภาครัฐพอสมควร ส่วนพ.ร.ก.กู้เงินเพื่อการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจ วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งขณะนี้ใช้ไปบางส่วนและในปีหน้ายังเหลือ 5 แสนล้านบาทนั้น หากวัคซีนโควิด-19 เข้ามาไทยได้กลางปีหน้า เงินงบประมาณตรงนี้น่าจะเพียงพอ แต่ทั้งนี้ รัฐบาลต้องจัดสรรให้มีประสิทธิภาพในเรื่องเยียวยา และฟื้นฟู เศรษฐกิจ

แต่ถ้าสถานการณ์ไม่เป็นไปตามคาด ในเรื่องประสิทธิผลของวัคซีน โดยส่วนตัวมองว่าภาครัฐยังสามารถก่อหนี้สาธารณะเพิ่มได้อีก ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 60% ของจีดีพี ถือว่าอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังที่ดีสำหรับใช้ในสถานการณ์ปกติ แต่เนื่องจากปัจจุบันอยู่ในช่วงไม่ปกติ ดังนั้นถ้ามีความจำเป็นจะต้องประคับประคองเศรษฐกิจ เชื่อว่าสามารถเพิ่มหนี้สาธารณะได้ และจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบริษัทจัดอันดับเครดิต ส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อมั่นในวินัยการเงินการคลังของไทย ถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายในการสนับสนุนเศรษฐกิจก็เชื่อมั่นว่ารัฐบาลสามารถปรับให้หนี้สาธารณะกลับมาในระดับที่มีเสถียรภาพได้ในระยะปานกลาง

อีกทั้งสถานการณ์ดอกเบี้ยของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ และส่วนใหญ่คนที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทย ก็เป็นคนไทยด้วยกัน ไม่เหมือนบางประเทศที่พึ่งพานักลงทุนต่างประเทศ เมื่อเกิดสถานการณ์ไม่ดีต่างประเทศถอนเงินออกจะทำให้ประเทศมีปัญหาได้ ถ้าไม่ประคับประคองเศรษฐกิจแล้วจีดีพีลดลง สัดส่วนหนี้ก็สูงขึ้นมาได้เช่นกัน

สำหรับปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยปีหน้า หรือ 3 แผลเป็น ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ช้า 1. การเปิดกิจการน้อยลงในทุกอุตสาหกรรม ขณะที่ตัวเลขการปิดกิจการเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น 2. อัตราการว่างงานอยู่ในระดับสูง โดย ณ เดือนต.ค. 2563 อยู่ที่ 2.1% โดยกลุ่มอายุ 15-24 ปี ซึ่งอยู่ในวัยทำงาน มีอัตราการว่างงานสูงถึง 8.9% และโครงสร้างผู้มีอาชีพอิสระเพิ่มขึ้น 4.4% จะเป็นประเด็นการใช้จ่ายในระยะต่อไป และ 3. หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นมาก ทำให้ในปีหน้าระบบเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพิงการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวเกิน 10% จากปีนี้ที่ขยายตัวจากปีก่อน 11%

ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ย คาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำ 0.5% ต่อเนื่องไปอีกหลายปี สำหรับค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยประเมินไว้ที่ 29.50-30.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จาก ณ สิ้นปีนี้ที่ 30-30.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยการแข็งค่าของเงินบาทเป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางการค้าที่แม้จะดำเนินต่อไป แต่น่าจะลดความผันผวนลง และการขาดดุลทางการคลังที่มากขึ้นของสหรัฐ ส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดเกิดใหม่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน