นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2564 ฟื้นตัวเล็กน้อยโดยเติบโต 2% ซึ่งถือเป็นอัตราการฟื้นตัวในระดับต่ำมาก จากการเริ่มมีการระบาดรอบใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ที่อาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กลับมามีความไม่แน่นอนได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ดี ในส่วนของธนาคารคาดว่าสินเชื่อปีนี้ยังมีการเติบโตแต่ไม่สูงเหมือนในอดีต โดยปี 2563 สินเชื่อหดตัว 7.4% โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อย และ สินเชื่อเอสเอ็มอีที่ชะลอตัว ประกอบกับ ธนาคารมีระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อตามความเสี่ยงที่สูงขึ้น

ขณะเดียวกันผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะดีกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากการตั้งสำรองหนี้จะลดลงจากปีก่อน ที่มีการตั้งสำรองในระดับสูง โดยเฉพาะเงินสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อยู่ที่ 210.5% ณ สิ้นปี 2563 และ มีระดับฐานะเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ที่แข็งแกร่ง ที่ 22.8% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11% ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กำหนด และ มีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 18.1%

ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปีนี้มีโอกาสขึ้นไปสูงอยู่ที่ 3-3.5% จากสิ้นปีก่อนที่อยู่ 2.5% โดยบริษัทยังคงติดตาม และดูแลลูกหนี้ทุกกลุ่มอย่างใกล้ชิด ซึ่งการที่ระดับเอ็นพีแอลที่อาจขึ้นไปสูงนั้น มาจากความไม่แน่นอนทั้งภาวะเศรษฐกิจ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้าจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ แต่ทั้งนี้ บริษัทไม่กังวลเนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อการตั้งสำรอง ผลการดำเนินงาน และการจ่ายปันผลแต่อย่างใด โดยปัจจุบัน กลุ่มทิสโก้มุ่งเน้นการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ พิจารณาการปล่อยสินเชื่อให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า ควบคู่กับการบริหารจัดการทั้งด้านต้นทุน และการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ รวมถึงการดูแลติดตาม และช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างใกล้ชิด และต่อเนื่อง ผ่านมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้ขยายระยะเวลาออกไปจนถึงกลางปีนี้ นอกจากนี้ ยังเห็นโอกาสของการเติบโตจากความต้องการสินเชื่อเพื่อธุรกิจรายใหญ่ เพื่อใช้ดูแลสภาพคล่องของภาคธุรกิจให้มีความต่อเนื่อง

ทั้งการเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในระยะที่ 1 มีลูกค้าเข้ามาขอรับความช่วยเหลือ 50,000-60,000 ราย คิดเป็น 20% ของสินเชื่อรวมทั้งหมด ซึ่งกลุ่มดังกล่าวตอนนี้กลับมาชำระได้มากมากกว่า 90% โดยระยะที่ 2 มีลูกค้าเข้ามาขอรับความช่วยเหลือ 6,000-7,000 ราย คิดเป็น 2% ของสินเชื่อรวมทั้งหมด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน