ธปท. คาดประเดิมไตรมาส 1 เศรษฐกิจติดลบ เงินเฟ้อจ่อพุ่งหลังไตรมาส 2 มองสถานการณ์เลวร้ายสุด เลื่อนเปิดประเทศเป็นปี’66

ธปท. คาดเศรษฐกิจติดลบ – น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ประเมินว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยไตรมาส 1/2564 มีแนวโน้มหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ภายในประเทศ ในขณะที่ต้นปีนี้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายเดือนธ.ค. 2563 จึงทำให้คาดว่าจีดีพีจะออกมาติดลบอย่างแน่นอน ทั้งเมื่อเทียบเป็นรายปี และเทียบรายไตรมาส

ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/2564 นั้น ยังต้องจับตาดูพัฒนาการการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด รวมถึงมาตรการความช่วยเหลือต่างๆ ที่จะออกมาของภาครัฐ และการปรับตัวของภาคธุรกิจ เอกชน และประชาชน

น.ส.ชญาวดี กล่าวในการประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meeting) ว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ล่าสุดได้มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 เหลือโต 3% จากเดิม 3.2% นั้น เป็นการขยายตัวที่ชะลอลง จากผลของการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในช่วงต้นปี 2564 และการเปิดรับนักท่องเที่ยวที่ช้าไปกว่าที่คาดไว้ โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในปีนี้จะเหลือเพียง 3 ล้านคน จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อปลายปี 2563 ที่ 5.5 ล้านคน ซึ่งยังไม่รวมผลกระทบจากการระบาดในประเทศรอบล่าสุด จากคลัสเตอร์ของสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2564 มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงกลางปี 2564 ที่ระดับ 1.2% โดยในช่วงไตรมาสแรก คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังติดลบเนื่องจากรัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ประชาชนในเรื่องการสนับสนุนค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้า ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้สิ้นสุดในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา จึงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2564 ถ้ารัฐบาลไม่มีการต่ออายุมาตรการช่วยค่าครองชีพดังกล่าวอีก

“ถ้าไม่มีการต่อมาตรการลดค่าน้ำค่าไฟ ก็จะเห็นเงินเฟ้อเด้งขึ้นไปในไตรมาส 2 แต่ไม่ใช่เป็นสัญญาณของเงินเฟ้อที่สูงในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว แต่เป็นผลทางด้านเทคนิค จากฐานต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน”น.ส.ชญาวดี กล่าว

น.ส.ชญาวดี กล่าวอีกว่า จากการประเมินสถานการณ์ไว้ในช่วงปลายเดือนมี.ค. 2564 (ก่อนจะเกิดการระบาดล่าสุดในคลัสเตอร์สถานบันเทิงในกรุงเทพฯ) มองว่าแม้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ แต่มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐที่รวดเร็วและตรงจุด รวมถึงมาตรการควบคุมการระบาดที่ไม่เข้มงวดเท่าครั้งก่อน ส่งผลให้เศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้

นอกจากนี้ การค้าระหว่างประเทศยังฟื้นตัวต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน โดยประเมินว่าการส่งออกปีนี้จะขยายตัวได้ 10% จากเดิมคาดไว้ที่ 5.7% ส่วนการนำเข้าขยายตัวได้ 15.2% จากเดิมคาด 7.7%

อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความไม่ทั่วถึง โดยรายรับภาคการท่องเที่ยวยังคงถูกกดดันจากนโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวของไทย และประเทศต้นทางที่ผ่อนคลายค่อนข้างช้า ความต่อเนื่องของมาตรการภาครัฐ และการประสานนโยบายระหว่างหน่วยงานมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยมาตรการทางการคลังต้องพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ขาดช่วง โดยเฉพาะการเร่งเบิกจ่ายภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ

“ประมาณการเศรษฐกิจไทยและอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูง และมีความเสี่ยงที่จะต่ำกว่ากรณีฐาน โดยความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังขึ้นอยู่กับปัจจัยเรื่องประสิทธิผลของวัคซีน การกลายพันธุ์ของไวรัส และแนวโน้มการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทย” น.ส.ชญาวดี กล่าว

นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท. จัดทำการประเมินสถานการณ์ที่ต่างจากกรณีฐานไว้ 2 กรณีดังนี้ 1. กรณีเลวร้าย (Worse case) ประเทศไทยมีการระบาดระลอก 3 ในช่วงครึ่งปีหลัง, วัคซีนยังมีประสิทธิภาพ แต่การฉีดในไทยล่าช้าออกไปจากเดิม, การเปิดประเทศเลื่อนไปในปี 2565 และ 2. กรณีเลวร้ายสุด (Worst case) ไวรัสกลายพันธุ์รุนแรงจนวัคซีนปัจจุบันใช้ไม่ได้ผล ต้องพัฒนาวัคซีนใหม่, เกิดการระบาดทั่วโลกอีกครั้งและกระทบต่อ Global supply chain, การเปิดประเทศจะเลื่อนไปปี 2566 ซึ่งกรณีฐานดังกล่าว อาจจะยังไม่สามารถนำมาใช้กับเหตุการณ์ในขณะนี้ได้ เพราะต้องรอผลประเมินผลสถานการณ์ ตลอดจนมาตรการต่างๆ อย่างรอบคอบอีกครั้ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน