ความเชื่อมั่นหอการค้าต่ำสุดรอบ 39 เดือน คาดดิ่งต่อเนื่อง เซ่นพิษโควิด ธุรกิจระส่ำ-คนตกงาน-จับตาหนี้ครัวเรือนพุ่ง

ความเชื่อมั่นหอการค้าต่ำสุด – นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ประจำเดือนเม.ย. 2564 ช่วงที่สำรวจข้อมูล 26-30 เม.ย. 2564 จำนวน 368 ตัวอย่าง

พบว่าดัชนีแทบทุกตัวที่ทำการสำรวจครั้งนี้ถือว่าลดลงต่ำที่สุดในรอบ 39 เดือนที่สำรวจมา หรือตั้งแต่ 1 ม.ค. 2562 ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ระดับ 27.6 ลดต่ำลงจากเดือนก่อนที่อยู่ที่ระดับ 30.7

สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นปัจจุบัน อนาคต ก็ลดลงต่ำกว่าเดือนก่อนเช่นกัน คือที่ระดับ 17.3 และ 37.8 จากเดือนก่อนอยู่ที่ระดับ 20.9 และ 40.5

โดยมีปัจจัยลบที่กระทบต่อความเชื่อมั่น คือความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบที่ 3 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศทั้งปัจจุบันและในอนาคตหากไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้

เมื่อภาครัฐออกมาตรการควบคุมการระบาดของโรค และมาตรการควบคุมแบบบูรณาการ ทำให้มีการสั่งปิดกิจการทางธุรกิจในหลายประเภท โดยเฉพาะธุรกิจกลางคืน มาตรการการกักตัวของบางจังหวัด หากเดินทางเข้าจังหวัดนั้นๆ ทำให้นักท่องเที่ยวชะลอการเดินทาง การชะลอการบริโภคและจับจ่ายใช้สอย จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบ 3 ธุรกิจเริ่มขาดสภาพคล่องและปิดกิจการ ส่งผลให้มีการปลดคนงานเพิ่มขึ้น หรือมีการลดเงินเดือน เป็นต้น

ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจของจังหวัดในปัจจุบันและอีก 6 เดือนข้างหน้าในประเด็นต่างๆ เช่น เศรษฐกิจของจังหวัดโดยรวม การบริโภคภายในจังหวัด การลงทุนภาคเอกชนในจังหวัด การท่องเที่ยวภายในจังหวัด ก็ตอบว่าแย่ลงเป็นส่วนใหญ่

โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในปัจจุบันตอบว่าแย่ลงถึง 98.6% และในอนาคตก็ยังมองว่าไม่ได้ดีขึ้น








Advertisement

แนวทางที่หอการค้าต้องการให้รัฐบาลเร่งดำเนินการคือ การเร่งจัดหาวัคซีนให้เพียงพอต่อจำนวนประชากร เร่งกระจายการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึง เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และทำให้การดำเนินชีวิตกลับเข้าสู่สภาวะปกติหลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มมีการคลี่คลายลง เร่งการหยุดการระบาดแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เป็นคลัสเตอร์และกระจายตัวอยู่ในชุมชนแออัดตามพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

มาตรการทางการเงินช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจในการช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินกิจการรักษาการจ้างงาน พัฒนาทักษะแรงงานและปรับรูปแบบธุรกิจ ให้กลับมาสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เร่งแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวของประเทศให้พร้อมดำเนินการทันทีเมื่อสถานการณ์ของการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ควบคุมได้และประชาชนมีภูมิคุ้นกันต่อโรคในระดับที่ไม่เป็นอันตราย

นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจขณะนี้มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะจากผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นภาคเอกชนตอบว่าทุกอย่างแย่ลงโดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวในปัจจุบัน การจ้างงานในปัจจุบันก็ตอบว่าแย่ลงถึง 84.3% ของกลุ่มตัวอย่าง แสดงให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างมีความกังวลอย่างสูงเกี่ยวกับสภาพคล่อง การประคองธุรกิจ

เพราะตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 ภาคการท่องเที่ยวก็ซบเซามาตลอด แม้ว่าจะมีการจ่ายชดเชยให้กับธุรกิจที่หยุดกิจการชั่วคราว แต่ก็เริ่มมีกิจการต่างๆ ปิดกิจการเพราะแบกรับภาระไม่ไหวเพราะรายได้ไม่มี เข้าไม่ถึงซอฟต์โลน ทำให้คนที่ตกงานกลับไปยังภูมิลำเนามากขึ้น และส่งผลถึงภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น

สะท้อนในผลการสำรวจว่าผลของการตกงานนั้นทำให้กลุ่มตัวอย่าง 78.3% ตอบว่าเศรษฐกิจปัจจุบันแย่ลง และเกินครึ่งของกลุ่มตัวอย่างคือ 45.4% ก็ตอบว่า ในอีก 6 เดือนก็ยังแย่ลง บ่งบอกว่ากำลังซื้อต่างๆ ก็จะลดลงไปตามการกินดีอยู่ดีของประชาชน

“มองว่าตัวเลขในเดือนพ.ค. น่าจะแย่กว่านี้คือต่ำกว่า 30 โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ดังนั้นกลุ่มคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจึงได้รับผลกระทบมากที่สุด มีความเสี่ยงสูงที่จะตกงาน ส่วนภาคเกษตรแม้ราคาสินค้าเกษตรจะดี แต่เกษตรกรไม่มีสินค้าในมือ

ดังนั้นเกษตรกรก็ไม่ได้อยู่ดีกินดีตามไปด้วย ดังนั้นตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นทั้งการบริโภค การลงทุน การท่องเที่ยว ภาคเกษตร อุตสาหกรรม ภาคบริการก็ยังจะต่ำอยู่ โดยสรุปคือเศรษฐกิจไม่ดี” นายธนวรรธน์ กล่าว

นายธนวรรธน์ ยังกล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่ภาคเอกชนต้องการเร่งด่วนคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลมีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.4 แสนล้านบาท ซึ่งไตรมาส 2 รัฐบาลจะอัดเม็ดเงินลงไปประมาณ 1 แสนล้านบาทผ่านคนละครึ่งและมาตรการอื่นๆ

ทางหอการค้าไทยยังมองว่า เม็ดเงินดังกล่าวยังน้อยเกินไปสำหรับการลงไปช่วยระบบเศรษฐกิจในไตรมาส 2 จำเป็นต้องอัดเม็ดเงินเพิ่มอีก 1 แสนล้านบาท รวมเม็ดเงินทั้งหมด 2-3 แสนล้านบาทจะช่วยประคองสภาวะเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการจับจ่ายใช้สอยได้

นอกจากนี้ จาการสำรวจมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐพบว่า มาตรการคนละครึ่งถือเป็นมาตรการที่สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่วนโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” โดยรัฐสนับสนุน e-Voucher ให้กับประชาชน ที่ใช้จ่ายซื้อสินค้า อาหาร และเครื่องดื่มและค่าบริการกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่เกิน 5,000 บาทต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน

มาตรการนี้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าประมาณ 15% ก็อาจไม่มีคนใช้ก็ได้ แต่หากเป็นมาตรการคนละครึ่งประชาชนออกเงินเองแต่ได้ส่วนลด 50% ดังนั้นหากมีการโอนเงินจาก e-Voucher มาคนละครึ่งมองว่าจะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยได้มากกว่า หรือหากว่ารัฐบาลเปลี่ยนจากการใช้ e-Voucher มาเป็นช้อปดีมีคืนก็น่าจะสร้างแรงจูงใจให้คนที่เสียภาษีเข้ามาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นได้อีก

อย่างไรก็ตาม หอการค้ายังคาดการณ์เศรษฐกิจไทยทั้งปีขยายตัวอยู่ในกรอบ 2.5-3% โดยอยู่ภายใต้ที่รัฐบาลควบคุมโควิดไม่ให้กระจายมากขึ้น หรือเกิดคลัสเตอร์ใหม่ เร่งกระจายฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมาย

การฟื้นการท่องเที่ยวในประเทศและ ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะทดถอย มีแต่ก็น้อยมากแค่ 10-20% เท่านั้น เนื่องจากรัฐมีมาตรการกระตุ้น การเร่งฉีดวัคซีนที่จะช่วยได้ เศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน