นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีรมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังการหารือกับ นายฟาน จี๊ ทัญ เอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามประจําประเทศไทย ว่า ไทยเวียดนามมีมูลค่าการค้าร่วมกันปีที่ผ่านมา 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 600,000 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 750,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายเพราะ 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย. 2564) มูลค่าการค้าขยายตัวถึง 20% ทั้งนี้ ประเทศเวียดนามถือคู่ค้าอันดับ 6 ของไทยในโลกและเป็นลำดับ 3 ของกลุ่มประเทศอาเซียน สินค้าที่ไทยส่งออกไปเวียดนามส่วนมากรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และสินค้าที่เวียดนามส่งมาไทย โทรศัพท์มือถือ น้ำมันดิบ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ได้ขอให้ ทางการของเวียดนามแก้ไขปัญหาการค้าใน 5 ประเด็น และทางการเวียดนามก็พร้อมจะให้ความร่วมมือบไทย คือ ขอให้เวียดนามช่วยประชาสัมพันธ์งานจับคู่ธุรกิจออนไลน์ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 4-5 ส.ค.นี้ เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกร่วมกัน 2. ขอให้ประสานเปิดด่านวียดนามฝั่งจีนโหย่วอี้กวน เพื่อเชื่อมไปยังจีน เพราะขณะนี้เกิดปัญหาล่าช้าทำให้สินค้าจากไทยได้รับความเสียหายโดยเฉพาะสินค้าเกษตร ผัก ผลไม้ 3. ขอให้ทางการเวียดนามปรับกฎระเบียบการตรวจสอบคุณภาพยา เพราะปัจจุบันเวียดนามเพิ่มกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นนอกเหนือจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งไม่อ้างอิงกับกฎระเบียบที่กลุ่มประเทศอาเซียนปฎิบัติร่วมกัน

4. ขอให้เวียดนามทบทวนการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) และตอบโต้การอุดหนุน (ซีวีดี) สินค้าน้ำตาลทรายที่นำเข้าจากไทยที่ส่งผลให้มีการจัดเก็บภาษีนำเข้าน้ำตาลจากไทยจากปกติเก็บ 5% บวกเพิ่ม 46% รวมเป็น 51% โดยทางการเวียดนามจะออกประกาศใช้อย่างเป็นทางการกับประเทศใดบ้างในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ และ 5. ขอให้เวียดนามผ่อนคลายการนำเข้าสุกรจากไทย โดยเฉพาะการตรวจสอบสุขอนามัย โดยยืนยันว่าไทยได้เข้มงวดทุกเรื่องในทุกล็อตการส่งออก ทั้งการเลี้ยงที่ได้มาตรฐาน จึงขอให้เวียดนามมั่นใจว่าสุกรของไทยมีคุณภาพ ทั้งนี้ไทยส่งออกสุกรไปเวียดนามปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามยังสนับสนุน ความเห็นของตนในการแสดงความเห็นในที่ประชุมเอเปกในประเด็นที่ไทยสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ สามารถใช้สิทธิพิเศษในการผลิตวัคซีนโดยให้เหตุผลสุขอนามัยของประชาชนหรือ CL วัคซีนหรือการมาตรการใช้ทริปส์ที่ให้ถือว่าวัคซีนปลอดการบังคับใช้สิทธิบัตรชั่วคราว เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆสามารถผลิตวัคซีนได้ จะได้กระจายวัคซีนไปทั่วโลก ทั้งประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา

“ท่านทูตเวียดนามสนับสนุนความเห็นของผมเรื่องนี้ และประเทศไทยขณะนี้มีโรงงานผลิตวัคซีนเองคือสยามไบโอไซเอนซ์ ถ้ามาตรการทั้งสองอันนี้บังคับใช้ได้ เรามีโอกาสในการช่วยผลิตวัคซีนและส่งออกไปยังกลุ่มประเทศที่ต้องการโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนของเราและเวียดนามได้ด้วย”นายจุรินทร์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน