การยืดเยื้อของสถานการณ์โควิดในไทยและทั่วโลก ทำให้ทุกภคส่วนต้องปรับตัวกันครั้งใหญ่ ‘เครือเจริญโภคภัณฑ์’ (ซีพี) ที่แม้โมเดลทางธุรกิจใหญ่โตคครอบคลุมทุกเครือข่าย มีความหลากหลายทางธุรกิจมากที่สุดในประเทศไทย และมีพนักงานมากกว่า 400,000 คน ไม่พ้นการปรับตัวด้วยเช่นกัน

‘นายศุภชัย เจียรวนนท์’ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ประกาศกลยุทธ์ธุรกิจเตรียมพร้อมสำหรับโลกหลังวิกฤตการระบาดของโควิด-19 เร่งขยายธุรกิจในต่างประเทศและจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการและธุรกิจอื่นๆ ในประเทศไทย

ศุภชัย เจียรวนนท์

“การระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ทำให้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลกระทบเสียหายอย่างรุนแรงต่อธุรกิจ SME ในประเทศไทย และในขณะเดียวกัน ก็สร้างผลกระทบอีกด้านหนึ่งด้วย กล่าวคือ ทำให้เกิด ‘บริษัทยักษ์ใหญ่’ ในระดับนานาชาติจำนวนมาก ที่ปัจจุบันกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางธุรกิจมากกว่า GDP ของหลายประเทศในโลก”

นายศุภชัย กล่าวและว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจทั้งสองด้าน ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีระดับโลก อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในประเทศ จากการที่ SME ไทยอ่อนแอลง

เครือซีพีจะขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปข้างหน้าด้วย 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่

1.เร่งเครื่องการลงทุน

2.เร่งเครื่องการเดินหน้าบนเวทีโลก

3.ลดความซับซ้อนของโครงสร้างธุรกิจของเครือเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความรวดเร็วในการดำเนินธุรกิจ

และ4.สร้างแพลตฟอร์มทางธุรกิจเพื่อขยายความร่วมมือกับธุรกิจ ผู้ประกอบการอื่นๆ ของไทย รวมถึงเกษตรกรจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงตลาดต่างประเทศ

“ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนแบบนี้ เราต้องไม่ชะลอการลงทุนของเรา ในทางกลับกันต้องเร่งแผนการลงทุนของธุรกิจต่างๆ ในเครือ โดยเดินหน้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ และรวมถึงโครงการที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดการสร้างงานและสร้างธุรกิจค้าขายดีลใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ SME และเกษตรกรเล็กๆ รวมจำนวนมากกว่า 1.2 ล้านราย ที่เรามีความร่วมมือทางธุรกิจกันอยู่แล้วทั้งทางตรงและทางอ้อม”

ประธานคณะผู้บริหารเครือซีพี กล่าวและว่าเงินใช้จ่าย ของธุรกิจต่างๆ ในเครือซีพีน่าจะกระจายต่อไปสู่หลากหลายชุมชนและหลากหลายธุรกิจ ทุกขนาด นอกจากนั้นยังมีเงินจำนวนอีกเกือบ 2 พันล้านบาทที่เครือซีพีได้บริจาคเพื่อการช่วยเหลือต่างๆ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการระบาดของโควิด-19

เช่นเดียวกันกับการลงทุนในต่างประเทศที่เครือซีพีกำลังเร่งเครื่อง โดยนายศุภชัยคาดการณ์ว่า การริเริ่มโปรเจ็คต์ใหญ่ๆ หลายอย่างที่กำลังมีความคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วในปีนี้จะสามารถช่วยเพิ่มตัวตนและสถานภาพที่แข็งแกร่งของธุรกิจไทยในตลาดต่างประเทศได้

สําหรับเครือเจริญโภคภัณฑ์มี 14 กลุ่มธุรกิจ ซึ่งนายศุภชัย กล่าวว่าจะปรับลดความซับซ้อนของโครงสร้างธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ด้วยเช่นกัน

เราต้องการช่วยทำให้บริษัทในเครือซีพี สามารถตัดสินใจต่างๆ ระหว่างบริษัทได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น เป็นการทำงานในยุคของโลกที่ความเร็วเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จของธุรกิจ

สิ่งที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับโลกหลังวิกฤติโควิด-19 ของธุรกิจในเครือซีพี คือการก้าวไปข้างหน้าให้ได้ไกลกว่าการเป็นเพียงผู้ผลิตสินค้าและการบริการเท่านั้น

โดยเครือซีพีจะเดินหน้าสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่ส่งเสริม SME และผู้ประกอบการธุรกิจอื่นๆ ในการพัฒนาศักยภาพ พร้อมกับเปิดประตูไปสู่โอกาสใหม่ๆ เพื่อการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศไทยและระดับโลก

ส่วนหนึ่งของโครงการที่เครือซีพี เรียกว่า “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” นั้น เรากำลังพัฒนาระบบที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการและธุรกิจอื่นๆ ของประเทศไทย รวมถึงเกษตรกรจำนวนมากสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้โดยผ่านการทำงานร่วมกันกับบริษัทในเครือซีพี

นายศุภชัย กล่าวอีกว่าเมื่อบริษัทใดก็ตามในเครือซีพี ประสบความสำเร็จอย่างแข็งแรงในตลาดต่างประเทศได้แล้ว จะช่วยให้กลุ่ม SME ไทยอีกนับสิบ นับร้อย หรือนับพัน ตลอดจนเกษตรกรและผู้ผลิตต่างๆ ให้สามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศเหล่านั้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน

โดยปกติทั่วไปแล้วธุรกิจ SME จะมีข้อจำกัดหรือไม่สามารถรับความเสี่ยงและความยากลำบากในการพยายามตั้งหลักในตลาดต่างประเทศได้ และบ่อยครั้งที่ธุรกิจเหล่านั้นไม่สามารถรับมือกับความท้าทายจากเครือข่ายธุรกิจในประเทศต่างๆ ได้

ดังนั้นหากเครือซีพีสามารถเป็นแพลตฟอร์มที่สนับสนุนและร่วมมือทางธุรกิจกับ SME ไทยต่างๆ ได้ เราจะสามารถมีส่วนช่วย SME เหล่านั้น เพิ่มศักยภาพ และช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าถึงตลาดที่ปกติแล้ว จะมีแต่บริษัทใหญ่ๆ ที่สุดของไทยเท่านั้นที่จะสามารถเข้าได้ เป็นการปลดล็อคศักยภาพทางเศรษฐกิจใหม่อย่างมหาศาล ซึ่งจะช่วยนำความรุ่งเรืองมาสู่คนนับล้าน

“ขณะเดียวกันก็เป็นการตอกย้ำเส้นทางการดำเนินธุรกิจของเครือซีพีในระดับสากล ผ่านแนวคิดแบบ Win-Win”

นายศุภชัย กล่าวด้วยว่า แนวทางของโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า“แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” นี้ เป็นแนวทางหนึ่ง ที่ดีที่สุดในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของประเทศไทย ในโลกยุคใหม่หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะเป็นการรวมพลังและระดมศักยภาพของ SME หลายหมื่นรายและวิสาหกิจไทยอื่นๆ ออกไปสู้บนเวทีระดับโลก

บริษัทไทยต้องร่วมมือกันให้ได้มากที่สุดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อสร้างพลังร่วมกัน ส่งเสริมความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีเศรษฐกิจโลกต่อไปในอนาคต

เช่นเดียวกับที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกในสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ที่สนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศบ้านเกิด และบริษัทในประเทศของตัวเอง ไปพร้อมกับการสร้างคุณค่าให้กับประเทศที่ธุรกิจต่างๆ เหล่านั้นเข้าไปดำเนินธุรกิจ และเราก็ควรทำเช่นเดียวกัน

สอดคล้องตามหลักการ ‘3 ประโยชน์’ ของเครือซีพี กล่าวคือ อันดับแรกคำนึงถึงการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศที่เราเข้าไปดำเนินธุรกิจ และตามมาด้วยการสร้างประโยชน์ให้กับสังคม และสร้างประโยชน์ให้กับบริษัท

ทั้งหมดนั้นคือวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ที่เครือซีพี ภายใต้การนำของ‘นายศุภชัย เจียรวนนท์’ เตรียมดำเนินการในช่วงวิกฤตโควิด รวมถึงหลังจากปัญหาโควิดเริ่มคลี่คลายไปแล้วด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน