สมาคมร้านอาหารไทย เสนอเลื่อนใช้มาตรการ โควิด ฟรี เซตติ้ง ออกไปก่อน ชี้ฉีดวัคซีนยังไม่ครอบคลุม กระชั้นชิดเกินไป วอนขยายเวลาล็อกดาวน์

วันที่ 9 ก.ย.64 น.ส.ประภัสสร รังสิโรจน์ นายกสมาคมร้านอาหารไทยและสตรีทฟู้ด เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับ 8 สมาคมผู้ประกอบการร้านอาหารและบริการอื่นๆ เมื่อวันที่ 8 กันยายน ว่า ได้หารือผ่านระบบออนไลน์ร่วมกับ 8 สมาคม อาทิ สมาคมผู้ประกอบการร้านอาหาร สมาคมค้าธุรกิจอาหาร และชมรมของจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นต้น

โดยประเด็นสำคัญที่มีการหารือในครั้งนี้ คือ เรื่องมาตรการโควิด ฟรี เซตติ้ง (COVID Free Setting) ที่กรมอนามัย เตรียมบังคับใช้กับร้านอาหาร ร้านเสริมสวย หรือร้านตัดผม ภายในห้างสรรพสินค้า เริ่มวันที่ 1 ตุลาคมนี้

ที่ประชุมเห็นตรงกันว่าแม้ในช่วงแรกจะบังคับใช้กับร้านค้าภายในห้างสรรพสินค้า แต่ในระยะต่อไปก็ต้องขอความร่วมมือให้ร้านอาหารทั่วไป ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ให้ปฏิบัติร่วมกันอยู่ดี

ในกรณีของร้านค้าในห้างสรรพสินค้าที่จะบังคับใช้ในเดือนตุลาคมนั้น มองว่ากระชั้นชิดเกินไป หากต้องการให้ปฏิบัติ ภาครัฐควรที่จะเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมก่อนจะบังคับใช้มาตรการดังกล่าว เพราะไม่เช่นนั้นอาจปฏิบัติไม่ได้จริง

น.ส.ประภัสสร กล่าวว่า อีกหนึ่งประเด็นที่มีการหารือ คือ ทางผู้ประกอบการร้านอาหารอยากให้ภาครัฐขยายเวลาในการล็อกดาวน์ และอยากให้อนุญาตให้เปิดร้านจาก 20.00 น. เป็นเวลา 21.00 น. เพื่อให้ได้มีเวลาในการขายสินค้าเพิ่มเติม และช่วยให้มีเวลาในการปิดร้านได้มากขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ ในที่ประชุมยังอยากให้ภาครัฐช่วยเหลือในเรื่องของสภาพคล่องทั้งธุรกิจต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อให้อยู่รอดได้ต่อไปในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้

“การหารือในครั้งนี้ มีตัวแทนจากสถาบันอาหาร ซึ่งถือเป็นหน่วยงานของภาครัฐเข้ามาร่วมรับฟังการหารือในครั้งนี้ด้วย ซึ่งผลจากการหารือในครั้งนี้อาจจะไม่ได้มีการรวบรวมข้อมูลไปเสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง แต่อยากฝากให้สื่อมวลชนช่วยเป็นกระบอกเสียงฝากไปถึงรัฐบาลให้เร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารทุกประเภทด้วย

โดยเฉพาะเรื่องการฉีดวัคซีน ปัจจุบันในพื้นที่กรุงเทพฯ พนักงานร้านอาหารพึ่งได้รับการฉีดเพียง 70% เท่านั้น ยังไม่ครบ 100% จึงมองว่ามาตรการต่างๆ ที่เตรียมออกมาอาจจะเร็วเกินไป อยากให้พิจารณาเลื่อนออกไปก่อน หรือให้ร้านที่มีความพร้อมจริงๆ ปฏิบัติก่อนยังไม่อยากให้เริ่มบังคับใช้” น.ส.ประภัสสร กล่าว

น.ส.ประภัสสร กล่าวว่า ในเรื่องของการเข้าถึงวัคซีนนั้น ยังมีพนักงานอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะร้านอาหารขนาดเล็กที่ยังเข้าไปถึงการจัดสรรวัคซีน จึงอยากให้รัฐบาลเปิดรับฟังความเห็นจากผู้ประกอบการ เพื่อที่จะได้ลดปัญหาเรื่องการตกหล่น อีกทั้งจะช่วยให้เร่งให้เกิดการฉีดได้เร็วขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันวัควีนจะยังไม่ครอบคลุมพนักงานในภาคบริการทั้งหมด แต่ทุกร้านที่เปิดให้บริการได้ยกระดับคุมเข้ม ตามมาตรการของสาธารณสุขอยู่แล้ว ซึ่งก็ถือว่ายังควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี

แต่ถ้ามีการบังคับให้ผู้ให้บริการต้องสวมชุดพีพีอีในการให้บริการ หรือถามผู้มาใช้บริการว่าฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วหรือยัง อาจมีผลกระทบต่อจิตใจของผู้ถูกถาม ซึ่งในทางปฏิบัติมองว่าอาจไม่สามารถทำได้จริง แต่ถ้าใช้วิธีให้ผู้ใช้บริการกรอกแบบสอบถามคล้ายๆ กับเวลาไปใช้บริการที่ห้างสรรพสินค้าน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน