นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกในเดือนก.ย. 2564 ส่งสัญญาณที่ดีโตขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับเดือนส.ค. เป็นผลจากมาตรการการผ่อนปรนให้เปิดกิจการและธุรกิจเพิ่มเติมในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ ส่งผลให้ความถี่ในการจับจ่ายเพิ่มมากขึ้น แต่ยอดการใช้จ่ายต่อครั้งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และต้องการการกระตุ้นจากภาครัฐเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ

ดังนั้นสมาคมฯ จึงมีข้อเสนอต่อภาครัฐ ดังนี้ 1. ภาครัฐต้องเร่งฟื้นโครงการ ช้อปดีมีคืน อย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ กระตุ้นอารมณ์การจับจ่ายในช่วงไฮซีซั่นให้กลับมาคึกคัก 2. ภาครัฐใช้มาตรการทางภาษีเพื่อช่วยผู้ประกอบการในด้านค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุข นอกเหนือจากการลดหย่อนภาษี 1.5 เท่าของค่าใช้จ่าย ATK

3. ภาครัฐต้องสร้างความชัดเจนในการนำมาตรการ Covid Free Setting และ Universal Prevention โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการสามารถปฎิบัติได้ง่ายและมีขั้นตอนที่ชัดเจน 4. ภาครัฐเร่งการกระจายการฉีดวัคซีนให้รวดเร็วและเข้าถึงประชาชนมากกว่า 70% ของประชากรทั้งหมดของประเทศ เพราะภายหลังจากรัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมแบบเข้มงวดและอนุญาตให้หลายกิจการกลับมาดำเนินธุรกิจได้ ผู้ประกอบการยังคงกังวลในเรื่องของจำนวนวัคซีนที่เพียงพอ และยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายตามมาตรการสาธารณสุขที่จะเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า

“จะเห็นได้ว่ามาตรการผ่อนปรนฯ เป็นกุญแจสำคัญที่เรียกความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจกลับคืนมา และยังเป็นการสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบค้าปลีกและบริการได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรเร่งการกระจายการฉีดวัคซีนให้ได้ 70% ของประชากรทั้งประเทศตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ เพื่อจะได้เปิดประเทศอย่างปลอดภัยและเร็วที่สุด อีกปัจจัยที่สำคัญ ที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายของปีนี้ จึงขอเสนอให้นำมาตรการช้อปดีมีคืนกลับมาใช้อย่างเร่งด่วน เพราะจะเป็นการอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก เดือนก.ย. 2564 ปรับตัวดีขึ้นกว่า 2 เท่าอย่างชัดเจน จากที่ระดับ 25.0 ในเดือนส.ค. มาอยู่ที่ระดับ 59.0 ในเดือนก.ย. หลังการประกาศผ่อนคลายมาตรการฯ ของรัฐ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกในอีก 3 เดือนข้างหน้า ก็ปรับตัวดีจากระดับที่ 47.8 เดือนส.ค. มาอยู่ที่ระดับ 63.8 ในเดือนก.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 25% ในขณะที่ความเชื่อมั่นสภาวะปัจจุบันเพิ่มขึ้นกว่า 200% สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังมีความวิตกกังวลอยู่มากของมาตรการการผ่อนคลาย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความชัดเจน

ส่วนการประเมินผลกระทบต่อยอดขายและกำลังซื้อและแนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในเดือนก.ย. นั้น พบว่า ผู้ประกอบการ 68% คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 3 น่าจะหดตัวถึง 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และ 57% ผู้ประกอบการระบุว่ายอดขายในไตรมาส 3 น่าจะลดลงมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน 73% ของผู้ประกอบการคาดว่า สถานการณ์จะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน