สำรวจความพร้อมรับต่างชาติ นับถอยหลังเปิดประเทศ 1 พ.ย. : รายงานพิเศษ

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าวันที่ 1 พ.ย.นี้ ไทยจะเปิดประเทศรับนักท่องที่ยวต่างชาติเข้ามา เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจหลังซบเซามายาวนาน

เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวของกลุ่มต่างชาติเป็นรายได้หลักของไทย นอกเหนือไปจากภาคส่งออก

ด้วยเพราะปัญหาโควิด-19 ทำให้การท่องเที่ยวหยุดชะงักยาวนาน แม้รัฐพยายามออกมาตรการให้ ‘ไทยเที่ยวไทย’ แต่ถ้าดูรายได้แล้วยังน้อยยิ่งกว่าน้อยเมื่อเทียบกับเงินต่างชาติก่อนช่วงเกิดโควิด

เบื้องต้นรัฐบาลไฟเขียวพื้นที่นำร่อง 15 จังหวัด ส่วนใหญ่เป็นจังหวัดยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ หัวหิน ฯลฯ

ขณะที่ภาคใต้นั้นเปิดไปก่อนแล้วจากโครงการ ‘แซนด์บ็อกซ์’ ทั้งภูเก็ต พังงา กระบี่ ฯลฯ

ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาได้โดยไม่ต้องกักตัวเบื้องต้นมี 5 ประเทศคือ อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และสหรัฐ เพราะมีความเสี่ยงต่ำ

โดยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 (ศบค.) มีแผนจะไฟเขียวขยายสูงสุด 20 ประเทศในช่วงเริ่มต้น

โดยเฉพาะจีนที่ถือเป็นนักท่องเที่ยวหลักของไทย ทำให้การท่องเที่ยวใส่ใจเป็นพิเศษ

รายงานพิเศษ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า หลังเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว คาด 2 เดือนสุดท้ายจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยได้เพิ่มขึ้น ส่วนประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดหลักของภาคท่องเที่ยวไทย เมื่อปี 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาเยือนไทยมากถึง 11 ล้านคน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมเข้าพบเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้

เบื้องต้นให้สำนักงาน ททท.ในประเทศจีนหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอความร่วมมือจากภาคเอกชน เช่น สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เจรจากับคู่ค้าเพื่อเตรียมดึงกรุ๊ปทัวร์จีนเดินทางเข้าไทย

“ไทยทอดสะพานให้จีนเขารู้ว่าเราจริงใจกับเขา อยากให้ชาวจีนที่คิดถึงเมืองไทยได้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว ส่วนเขาจะมาได้หรือไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ขึ้นอยู่กับนโยบายของประเทศต้นทาง ททท.ได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีรายได้จากตลาดจีนเที่ยวไทยในช่วง 6 เดือนนี้ ตั้งแต่เดือน ต.ค.2564-มี.ค.2565 ที่ 3,000 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขการเดินทางมาพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว (แซนด์บ็อกซ์) อย่างน้อย 7 วันก่อนเดินทางไปเที่ยวพื้นที่อื่นในไทย”

พร้อมกันนี้ ททท.ตั้งเป้าว่าตลอดปี 2564 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทย 1 ล้านคน สร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวจากทั้งตลาดในและต่างประเทศที่ 3.2 แสนล้านบาท

ขณะที่ปี 2565 ตั้งเป้าหมายว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 4 ของยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคนเมื่อปี 2562 มีรายได้รวมฯ 1.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 50% ของรายได้รวมฯ ปี 2562

ส่วนปี 2566 ตั้งเป้ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 20 ล้านคน คิดเป็น 50% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2562 และหนุนรายได้รวมฯ เพิ่มเป็น 2.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นการฟื้นตัว 80% ของรายได้รวมฯ ปี 2562

ขณะที่ด่านหน้าอย่างสนามบินสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ กพท. แจ้งแผนการรองรับการเปิดประเทศ วันที่ 1 พ.ย. ว่า กพท.หารือร่วมกับผู้บริหารสนามบินและสายการบิน เพื่อให้ปรับแผนการให้บริการภายหลังจากรัฐบาลปลดล็อกการเดินทาง เนื่องจากจะมีการเปิดจุดบินมากขึ้นจากการขยายโครงการแซนด์บ็อกซ์ไปยังจังหวัดต่างๆ มากขึ้น

เบื้องต้นประสานให้สนามบินสุวรรณภูมิซึ่งเป็นสนามบินหลัก และสนามบินที่อยู่ในโครงการแซนด์บ็อกซ์ ปรับมาตรฐานการให้บริการให้กลับมาใกล้เคียงกับช่วงปกติก่อนเกิดโควิดมากขึ้น โดยให้สามารถรองรับเที่ยวบินต่อเครื่องได้ด้วย นอกเหนือไปจากเที่ยวบินปกติ

สัปดาห์หน้า กพท.จะต้องทำเรื่องเสนอขอให้ ศบค.พิจารณาปลดล็อกให้สนามบินรองรับเที่ยวบินต่อเครื่องได้ รวมทั้งให้สนามบินจัดเตรียมระบบตรวจคนเข้าเมือง ตรวจโรคตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุขให้พร้อมสำหรับให้บริการเที่ยวบินแบบเช่าเหมาลำ

รายงานข่าวจาก กพท.แจ้งว่า ในส่วนของสายการบินที่ให้บริการเส้นทางบินในประเทศนั้นเร็วๆ นี้ กพท.จะปลดล็อกให้ผู้โดยสารเส้นทางในประเทศสามารถเดินทางร่วมกับเที่ยวบินของผู้โดยสารแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งเป็นผู้โดยสารจากต่างชาติได้ จากเดิมแยกลำเฉพาะผู้โดยสารแซนด์บ็อกซ์

กพท.ประสานขอให้สายการมีการจัดระเบียบพื้นที่ให้บริการผู้โดยสารบนเครื่องแยกส่วนกันให้ชัดเจน ระหว่างผู้โดยสารที่มาจากโครงการแซนด์บ็อกซ์ และผู้โดยสารปกติที่บินเส้นทางในประเทศ เนื่องจากผู้โดยสาร 2 ประเภทมีมาตรฐานการตรวจโรคที่แตกต่างกัน

สายการบินควรจัดลำดับก่อนหลังในการเดินขึ้นหรือลงจากเครื่องบิน เพื่อป้องกันความสับสนในขั้นตอนการตรวจโรค

รายงานพิเศษ

ส่วนภาคเอกชนแสดงความเห็นถึงแผนเปิดประเทศ โดย นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ถือเป็นโอกาสดี ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ

คาดว่าจะช่วยให้เกิดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้กว่า 50,000-100,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจปีนี้ไม่ติดลบแน่นอน

แต่อยากให้ภาครัฐสื่อสารเรื่องหลักเกณฑ์ในการเข้าพื้นที่แต่ละจังหวัดให้เป็นมาตรฐานเดียวกันชัดเจน ไม่ให้เกิดความสับสน ประกอบกับปีหน้าไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) จึงต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาชาติ

“การเปิดประเทศมีความจำเป็น เพราะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ภาครัฐต้องบอกมาเลยว่าพื้นที่สีแดงมีอะไรทำได้บ้าง วงดนตรีในร้านเล่นได้ตั้งแต่กี่โมง จะเข้าพื้นที่ไหนก็ใช้กติกาเดียวกัน แม้ปีนี้จะเหลือเวลาแค่ 2 เดือน มีความหวังเพราะที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศประมาณ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)”

ส.อ.ท.ยังเสนอต่อที่ประชุมให้เปิดประเทศทุกจังหวัดทุกพื้นที่พร้อมกัน ไม่จำเป็นต้องเปิดจังหวัดนำร่องก่อน เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศ จะมีมาตรการตรวจโรคมาแล้วในขั้นหนึ่ง ทั้งการฉีดวัคซีน และการตรวจคัดกรองโรค ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีได้รับหลักการและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาความเหมาะสม

ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เป็นสัญญาณที่ดีที่นายกรัฐมนตรีออกมาประกาศสร้างความชัดเจนในการเปิดประเทศ เพราะจะช่วยทำให้ผู้ประกอบการและนักเดินทางรู้ล่วงหน้าและมีการเตรียมตัวที่ดีขึ้น

รายงานพิเศษ

“สิ่งสำคัญในขณะนี้ คือการสร้างความเชื่อมั่น สื่อสารไปยังประเทศต่างๆ ถึงกระบวนการในการเดินทางเข้าประเทศไทยที่เป็นมาตรฐานสากล นอกจากนั้น มาตรการ COVID FREE SETTING ของภาครัฐ ปรับให้เหมาะสมกับสถานประกอบการต่างๆ สามารถปฏิบัติตามได้ ทั้งเรื่องการได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม และต้องตรวจ ATK ตามกำหนดระยะ”

นายสนั่นกล่าวและว่า ที่สำคัญคือผู้ประกอบการและประชาชนจะต้องมีวินัย เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น

หอการค้าไทยยังเสนอแนวทาง ‘Digital Health Pass’ เสริมการทำงานของภาครัฐ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรองรับปริมาณนักเดินทางที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับนักเดินทาง

ยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยว ด้วยการนำระบบ Digital เข้ามาใช้ สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวกลับไปบอกต่อ และดึงดูดคนให้เข้ามาประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นกลับมาไม่ใช่เฉพาะภาคท่องเที่ยว แต่จะกระจายไปยังหลายๆ ภาคส่วน

หอการค้าไทยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มเติมประมาณเดือนละ 1 แสนราย ซึ่งจะส่งผลให้จีดีพีในปีนี้เติบโตเพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงอยู่ในกรอบ 0-1%

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน