สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชี้ดัชนีค้าปลีกเดือนธ.ค.64 แค่กระเตื้อง ไม่คึกคักเท่าที่ควร เผยโควิดสายพันธุ์โอมิครอนฉุดการจับจ่ายซึม เสนอ 4 ข้อรัฐฟื้นเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 10 ม.ค.65 นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวถึงผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำเดือนธ.ค. 2564ระหว่างวันที่ 17-24 ธ.ค.2564 ว่า ผลการสำรวจไม่สดใสเท่าที่ควร เนื่องจากการแพร่ของโอมิครอนเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น และเกรงว่าภาครัฐจะกลับมาประกาศมาตรการการควบคุมอย่างเข้มงวดอีกครั้ง

แม้จะมีการเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิม Same Store Sale Growth (SSSG) แต่ก็เกิดจากความถี่ในการจับจ่าย (Frequency on Shopping) ที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ และยอดซื้อต่อบิล Spending per Bill หรือ Per Basket Size เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นเป็นหลัก ไม่ใช่เกิดจากกำลังซื้อที่แท้จริง สะท้อนว่ายังต้องการแรงกระตุ้นจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสริมเรื่องการยกเลิกกิจกรรมข้ามปีของบางพื้นที่ ที่ส่งผลให้การจับจ่ายปลายปีต้องชะงัก

 

โดยมีข้อสรุปของดัชนีความเชื่อมั่นในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) เดือนธันวาคมอยู่ที่ 68.4 ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 6 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนพ.ย. ที่ 62.1 สะท้อนถึงมู้ดของการจับจ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ปลายปีนี้ไม่คึกคักเท่าที่ควร

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก RSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับลดลง 4 จุดจากระดับ 69.7 ในเดือนพ.ย. มาที่ 65.1 เดือนธันวาคม สะท้อนถึงความความกังวลต่อการแพร่ระบาดโอมิครอนที่กระจายไปกว่า 30 จังหวัด

2. ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคเมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.โดยเฉพาะ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากมาตรการผ่อนปรนความเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดที่ชัดเจนขึ้น และการที่ประชาชนเริ่มท่องเที่ยวในประเทศตามภูมิภาคต่างๆ มากขึ้น

3.ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามประเภทร้านค้าปลีก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเมื่อจำแนกตามประเภทร้านค้าปลีกเปรียบเทียบระหว่างเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม พบว่า เพิ่มขึ้นทุกประเภทร้านค้า ยกเว้นร้านค้าประเภทห้างสรรพสินค้า จากบรรยากาศการจับจ่ายช้อปปิ้ง ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหมาย เนื่องจากผู้บริโภครอความหวังจากโครงการ “ช้อปดีมีคืน” ที่ควรเกิดในปลายปี 2564 แต่เลื่อนเป็นต้นปี 2565 แทน

นอกจากนี้ ยังสำรวจในหัวข้อ “การประเมินกำลังซื้อและแนวโน้มการแพร่ระบาดไวรัสสายพันธุ์ โอมิครอนจากมุมมองผู้ประกอบการ” ในช่วงเดียวกัน พบว่า 1.ยอดขายเพิ่มขึ้นตลอดปีที่ผ่านมามาจาก อันดับ 1 มาตรการการกระตุ้นการจับจ่ายภาครัฐอันดับ 2​ การจัดโปรโมชั่นของร้านค้าอันดับ 3​ การขายผ่านออนไลน์

2.ความกังวลต่อการแพร่ระบาดโอมิครอนอันดับ 1 กังวลต่อกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวอันดับ 2 ลูกค้างดการทำกิจกรรมนอกบ้านอันดับ 3 กังวลต่อมาตรการที่อาจต้องล็อคดาวน์

3.แผนการรองรับหากมีการแพร่ระบาดของโอมิครอน63% ขายผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้น40% ลดค่าใช้จ่าย ลดการจ้างงาน 30% ดำเนินธุรกิจตามปกติ เว้นแต่ภาครัฐสั่งให้ปิด4. ความช่วยเหลือจากภาครัฐ58% เพิ่มการลดหย่อนภาษีและลดภาระค่าใช้จ่าย55% เพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและต่อเนื่อง43% ช่วยจ่ายค่าจ้างแรงงาน

สำหรับข้อเสนอที่ต้องการให้ภาครัฐเร่งดำนินการมี 4 ข้อเสนอต่อภาครัฐคือ 1.ยกระดับความพร้อมของระบบสาธารณสุข อาทิ เร่งการกระจายการฉีดวัคซีน เสริมชุดตรวจ ATK ที่มีคุณภาพและราคาเข้าถึงได้ เตรียมยาที่ใช้รักษา และสำรองเตียงผู้ป่วยหนัก

2.มีมาตรการเชิงรุกสำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดให้มีการควบคุมอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม หากมีการระบาดในแต่ละพื้นที่ รัฐควรมีการปิดเฉพาะพื้นที่ที่เป็นคลัสเตอร์เท่านั้น

3.ช่วยภาคเอกชนและประชาชนลดค่าใช้จ่าย โดยช่วยลดค่าน้ำ ค่าไฟ ลดเงินสมทบประกันสังคม ภาษีป้าย รวมถึงดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงิน ดอกเบี้ยบัตรเครดิต ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ไม่มีการค้ำประกัน และพิจารณา ลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการทั้งที่เกี่ยวข้องกับโควิดทางตรงและทางอ้อม

4.ผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เพื่อเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อาทิ ช้อปดีมีคืน ควรทำเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ครั้งต่อปี เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบรวมกันกว่าแสนล้านบาทตลอดปี

​“จะเห็นได้ว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวมากนัก การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่องของภาครัฐถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ SMEs และภาคธุรกิจไทยได้อีกครั้ง นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มการจ้างงาน และสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบค้าปลีกและบริการได้อย่างต่อเนื่อง การร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจของทุกภาคส่วนจะเป็นพลังในการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยไปต่อให้ได้

เราไม่สามารถที่จะกลับไปอยู่ในภาวะวิกฤตเหมือนในปี 2564 ที่ทุกอย่างหยุดชะงัก เพราะฉะนั้นการลดการแพร่ระบาดของโอมิครอนให้กระจายอยู่เพียงในวงจำกัด และกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังขยับตัวดีขึ้นให้น้อยที่สุด จึงเป็นทางออกเดียวของเราทุกคน” นายฉัตรชัย กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน