นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนกลยุทธ์ 5 ปี BCPG “Running at Lightning Speed” งบลงทุนถึง 95,000 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายขยายการเติบโตขึ้น 100 หรือเติบโตเท่าตัว ทั้งด้านรายได้ และกำลังการผลิตจาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 2. ธุรกิจบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ เช่น ธุรกิจผลิต และจำหน่ายระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือ แบตเตอรี่ ธุรกิจการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต 3. ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ เช่น ธุรกิจพัฒนาเมืองอัฉริยะ ให้สมบูรณ์ครบวงจรทั้งด้าน พลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

“เรามีโครงการและแผนการลงทุนที่ท้าทายมาก โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีนี้ เราวางแผนลงทุนที่ต้องใช้เงินเกือบ 70,000 ล้านบาท โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ แม้จะเป็นสินทรัพย์ที่ดี มีกระแสเงินสดมั่นคง แต่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาโครงการใหม่เพื่อสร้างความเติบโตค่อนข้างนานกว่าโรงไฟฟ้าประเภทอื่น ทำให้ขยายการลงทุนใหม่เพื่อหารายได้มาทดแทน Adder ที่กำลังจะหมดลงได้ด้วย ทำให้ต้นทุนทางการเงินโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ และสามารถเติบโตได้ตามแผนโดยไม่ต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใด” นายนิวัติกล่าว

โดยบริษัทตั้งเป้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ไต้หวัน ด้วยกำลังการผลิต 1000 เมกะวัตต์ ใน 5 ปี ข้างหน้า และมีสิทธิในการร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมส่วนเพิ่มขนาด 1,000 เมกะวัตต์ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ส่วนในประเทศไทยมีแผนควบรวมกิจการในโครงการที่น่าสนใจลงทุนตามกรอบกลยุทธ์ที่วางไว้

สำหรับปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาท จะมีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากการเปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการต่างๆ ได้แก่ โรงไฟฟ้าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยาบูกิ และโคมากาเนะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ และโครงการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Smart City) กำลังการผลิต 4.9 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ จะนำระบบกักเก็บพลังงาน หรือแบตเตอรี่ ไปใช้ในการบริหารจัดการพลังงานที่โครงการนี้อีกด้วย รวมถึงคาดว่ามีโครงการที่เราสามารถบรรลุข้อตกลงในการซื้อกิจการมาในปีนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

สำหรับความคืบหน้าของการพัฒนาในโครงการที่สำคัญของบริษัทฯ ยังเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยเรายังให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศแถบเอเชีย และแถบอินโดจีน (Indochina) อาทิ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศสูง สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานทดแทนสูง เพื่อลดการพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์และเชื้อเพลิงฟอสซิล

นายนิวัติ กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2564 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 2,284 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.6% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,959 ล้านบาท มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,669 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.4% ที่มีรายได้รวม 4,231 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บอร์ดบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวด 6 เดือนหลัง 0.17 บาทต่อหุ้น พร้อมจ่ายในวันที่ 22 เม.ย.นี้ โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ รับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำและโซลาร์ฟาร์ม ซึ่งมีปริมาณการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น พร้อมเริ่มทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น ดันผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน