นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “นโยบายการเงินการคลังกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2565” ในงานประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 27 ของสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ว่า กระทรวงการคลังยังคาดการณ์ว่าตัวเลขเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2565 จะขยายตัวได้ที่ระดับ 3.5-4.5% ขณะที่ภาคการส่งออกขยายตัวที่ระดับ 5% แต่เชื่อว่าหากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการประสานและเพิ่มประสิทธิภาพ (เบ่ง) การทำงานในทุกส่วน ก็จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของภาคการส่งออกของไทยในปีนี้ให้ขยายตัวได้มากกว่าเป้าหมาย

“การส่งออกของไทยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-ก.พ.) ขยายตัวได้ที่ระดับ 12% ผมได้สอบถามว่าทิศทางแบบนี้ทั้งปีมีโอกาสที่ส่งออกจะขยายตัวถึง 10% หรือไม่ หลายฝ่ายบอกว่าเป็นเรื่องยาก เพราะปีที่ผ่านมาส่งออกโตสูงที่ระดับ 17-18% แต่ผมก็มองว่าหากช่วยกันเบ่ง คือ การเพิ่มประสิทธิภาพ เอาเครื่องไม้เครื่องมือที่มี โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ การเพิ่มทักษะการทำงาน การสนับสนุนเรื่องโลจิสติกส์ การสนับสนุนเรื่องสภาพคล่อง ก็อาจจะช่วยให้ส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งตรงนี้ก็จะส่งผลดีกับตัวเลขจีดีพีให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย กำไรของภาคธุรกิจก็ปรับเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นภาครัฐและทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน” นายอาคม กล่าว

นายอาคม กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับนักลงทุนต่างชาติ ส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ที่ระดับ 4% แม้จะเผชิญปัญหาระยะสั้น อย่าง ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันและราคาในหมวดอาหารให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตรงนี้สวนทางกับนักวิเคราะห์ของไทยที่ส่วนใหญ่ต่างปรับลดคาดการณ์จีดีพีลงตลอดเวลา โดยส่วนตัวเชื่อว่าหากทุกส่วนสามารถร่วมกันผลักดันภาคการส่งออกได้ ก็จะกลายเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีเครื่องยนต์ที่สำคัญ ได้แก่ รายได้จากภาคการท่องเที่ยว ที่ปีนี้ต้องยอมรับว่ายังกลับมาได้ไม่เต็มที่ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้คาดการณ์ว่าปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 7 ล้านคน แต่ผ่านมาแล้ว 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.) พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยเพียง 4 แสนคน หากคิดจากจำนวนนี้ตลอดปี จะพบว่าอยู่ที่ 1.6 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย แต่เชื่อว่าการวางเป้าหมายที่ 7 ล้านคนนั้น คงมองภาพที่รัฐบาลและหลายประเทศเริ่มมีการลดมาตรการ ลดขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้มีการเดินทางเข้าประเทศได้สะดวกมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมีเรื่องการลงทุนของภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจผ่านโครงการลงทุนต่างๆ ที่ยังคงเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง

“กรอบเงินเฟ้อของไทยในปีนี้ อยู่ที่ 1-3% แต่ด้วยปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบก็อาจทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ต้องยอมรับว่ามาจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แต่รัฐบาลก็เข้าไปช่วยอย่างเต็มที่ โดยนักลงทุนต่างชาติเองก็ยังมองว่าเงินเฟ้อของไทยในปีนี้น่าจะไม่สูงมากนัก ยกเว้นหากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยเฉพาะดูไบ ขยับขึ้นไปถึง 150 ดอลลาร์ต่อบาเรล ก็อาจจะเดือดร้อนมาก แต่ก็เชื่อว่าคงไม่ถึงระดับนั้น โดยหลังจากนี้อยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันเบ่งการส่งออกของไทย อยากให้เซอร์ไพรส์นักวิเคราะห์ที่บอกว่าส่งออกของเราโตได้แค่ 5% เป็น 10% ให้ได้ เพื่อประโยชน์กับประเทศ” นายอาคม กล่าว

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า โอกาสที่ส่งออกจะขยายตัวได้ 10% ตามที่คลังประเมิน เป็นไปได้ แต่ต้องได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพาณิชย์ที่จะช่วยการขยายตลาดใหม่ๆ และจากกระทรวงการคลังที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุน มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจได้มากขึ้น

ทั้งนี้ การส่งออกจะโต 10% ได้ ต้องดำเนินการภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์ คือ 1. การหาตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง ทั้งซาอุดีอาระเบีย ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกลับมา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตน์ 2. การเพิ่มการค้าชายแดด ด่านต่างๆ การขยายตลาดในประเทศอาเซียน 3. การขยายตลาดในกลุ่มความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) จะช่วยได้เหมือนตลาด FTA ที่ผ่านมา และรวมถึงในอนาคตรัฐบาลต้องช่วยขยายตลาดของไทยและยุโรปอีกด้านหนึ่ง ที่จะเป็นอีกตัวสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการส่งออกให้เติบโตได้มากขึ้น

“การส่งออกปี 2564 ขยายตัวได้ 17-18% ถือว่าสูงมากในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีการปรับตัวได้ดี และยังมีแรงส่งมาถึงเดือน ม.ค.-ก.พ. 2565 ที่ขยายตัว 12% ดังนั้นทั้งปีส่งออกจะโตได้ 10% มีความเป็นไปได้ แม้ว่าจะยาก แต่หากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐให้ผู้ส่งออกดำเนินการใน 3 ยุทธศาสตร์ดังกล่าวได้ ก็เชื่อว่าการส่งออกของไทยจะเติบโตได้สูง” นายชัยชาญ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน