นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 19-23 เม.ย. 2565 กำหนดเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นพร้อมด้วย ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย และสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อจัดกิจกรรมส่งเสริมและชักจูงการลงทุนที่กรุงโตเกียว และจังหวัดคานากาวะ โดยมีเป้าหมายสำคัญที่จะชักชวนนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ในประเทศไทย

ทั้งนี้ การไปญี่ปุ่นครั้งนี้เพื่อดึงดูดการลงทุนเป้าหมายไปขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจไทย และไทยเตรียมความพร้อมพัฒนาประเทศ และอุตสาหกรรมใหม่ๆ ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะมีนักลงทุนจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มเติม ไม่เพียงเฉพาะเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่รวมถึงอุตสาหกรรม S-Curve และไทยยังได้ออกวีซ่าประเภทพิเศษคือวีซ่าสำหรับผู้พำนักระยะยาว หรือ Long-Term Resident Visa : LTR อายุ 10 ปี สำหรับ 4 กลุ่ม คือ ผู้มีความมั่งคั่งสูง ผู้เกษียณอายุ ผู้ที่ต้องการทำงานจากไทย และผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ที่กำลังเร่งออกประกาศของกระทรวงมหาดไทยในเร็วๆ นี้ ด้วย

ด้านน.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า การไปญี่ปุ่นของคณะรองนายกรัฐมนตรีครั้งนี้เป็นการเดินทางเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ของโลกเริ่มคลี่คลาย ทำให้หลายประเทศรวมทั้งไทยเริ่มเปิดประเทศ และสามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ ในช่วงเวลานี้การลงทุนถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ บีโอไอจึงต้องเร่งจัดกิจกรรมชักจูงลงทุน ประชาสัมพันธ์มาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

สำหรับวัตถุประสงค์ของการเดินทางเยือนญี่ปุ่นในครั้งนี้ เพื่อสานต่อข้อริเริ่มการเป็นหุ้นส่วนการร่วมสร้างสรรค์ (co-creation) ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น และนำไปสู่การลงทุนในอนาคต ภายใต้ข้อริเริ่ม “Asia-Japan Investing for the Future Initiative” หรือ AJIF ที่ทั้งสองฝ่ายได้ประกาศเมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา โดยคณะของรองนายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเข้าพบนายฮิโรคาสึ มัตสึโนะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น

รวมทั้งหารือกับนายฮากิอูดะ โคอิจิ รมว.กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น สมาพันธ์สมาคมธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น (KEIDANREN) รวมถึงบริษัทเอกชนรายใหญ่ของญี่ปุ่น ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำเสนอนโยบายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่ไทยให้ความสำคัญ ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อัจฉริยะ การแพทย์ อุตสาหกรรมกลุ่มเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (BCG) การท่องเที่ยวและบริการ

ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการหลายประการเพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกนักลงทุนหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ มาตรการส่งเสริมการใช้ยานพาหนะไฟฟ้า มาตรการด้านภาษี และการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวข้องกับ ยานพาหนะไฟฟ้า เช่น สถานีชาร์จยานพาหนะไฟฟ้า และการส่งเสริมโรงงานผลิตแบตเตอรี่ เป็นต้น

โดยมาตรการส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับยานพาหนะไฟฟ้า รวมถึงการส่งเสริมโรงงานผลิตแบตเตอรี่ จะส่งผลให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะด้วย ถือเป็นโอกาสดีที่บริษัทญี่ปุ่นทั้งในกลุ่มยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

 

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการเชิญชวนให้นักธุรกิจและนักลงทุนญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาพำนักในประเทศไทย โดยกำหนดวีซ่าประเภทพิเศษคือ วีซ่าสำหรับผู้พำนักระยะยาว หรือวีซ่าแอลทีอาร์ ซึ่งมีอายุ 10 ปี และญี่ปุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายสำหรับวีซ่าประเภทใหม่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบุคลากรทักษะสูง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน