รถร่วม บขส. ขอปรับขึ้นราคา ค่าโดยสาร 5 สตางค์ หลังแบกรับภาระ น้ำมันดีเซลไม่ไหว ด้าน ขบ. เล็งนำข้อเสนอให้คกก.ขนส่งฯ เคาะ มิ.ย. นี้
เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2565 ที่กรมขนส่งทางบก นายพิเชษฐ์ เจียมบุรเศรษฐ์ นายกสมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทย พร้อมด้วยผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทาง เข้าพบนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดี กรมขนส่งทางบก เพื่อยื่นข้อเสนอให้กรมพิจารณาทบทวน การนำประกาศกรม ตามมติคณะกรรมการกรมการขนส่งทางบกกลาง เมื่อปี 2555
ที่ประกาศใช้โครงสร้างต้นทุนราคาน้ำมันดีเซล เพื่อใช้พิจารณาปรับขึ้นหรือลดอัตราค่าโดยสาร โดยกำหนดว่าหากราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นถึง 1.12 บาทต่อลิตร จะมีการปรับค่าโดยสารขึ้น 1 สตางค์ต่อกิโลเมตร
นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า สำหรับอัตราค่าโดยสารที่กรมการขนส่งทางบกประกาศใช้อยู่ในปัจจุบัน ประกาศตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 62 คือ 53 สตางค์ต่อกิโลเมตร ต่อคน ซึ่งราคาน้ำมันดีเซล ณ วันที่ปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารอยู่ที่ลิตรละ 27.79 บาท
ขณะที่ปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 31.94 บาท และมีแนวโน้มว่าจะปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 40 บาทต่อลิตร ในไม่ช้านี้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการขนส่งรถโดยสารประจำทาง แบกรับภาระต้นทุนที่สูงเกินจริงมาอย่างต่อเนื่อง จึงขอเพียงให้ใช้ประกาศโครงสร้างต้นทุนราคาน้ำมันดีเซลดังกล่าวก่อนผู้ประกอบการจะไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ด้านนางสุจินดา เชิดชัย นายกสมาคมผู้ประกอบการรถยนต์โดยสาร เจ้าของอู่รถเชิดชัยและบริษัทเดินรถเชิดชัยทัวร์ จำกัด กล่าวว่า สมาคมฯ ได้เข้ายื่นหนังสือเพื่อขอปรับอัตราค่าโดยสารอิงตามราคาน้ำมันปัจจุบัน ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 65 ราคาอยู่ที่ 32 บาทต่อลิตร หลังจากรัฐบาลประกาศยกเลิกตรึงราคาน้ำมันดีเซล
ด้วยเหตุนี้สมาคมฯ จึงขอปรับอัตราค่าโดยสารเพิ่มขึ้นกิโลเมตรละ 1 สตางค์ต่อน้ำมันขึ้น 1 บาทต่อ 1 ลิตร ดังนั้นจากฐานราคา 27.79 บาท เทียบกับราคาปัจจุบันต่างกันราว 5 บาท ส่งผลให้อัตราค่าโดยสารควรจะได้ปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5 สตางค์
นางสุจินดา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังต้องการให้ภาครัฐพิจารณาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการในด้านอื่น ๆ เช่น ลดค่าธรรมเนียมเที่ยววิ่ง และค่าธรรมเนียมประเภทอื่นที่ต้องจ่ายให้ บขส. เนื่องจากขณะนี้ ผู้ประกอบการแบกต้นทุนน้ำมันที่สูงคิดเป็น 60% ของค่าโดยสารแล้ว อีกทั้งยังมีปริมาณผู้โดยสารเดินทางลดลง ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องปิดกิจการ
“ตอนนี้น้ำมันเป็นต้นทุนหลัก 60% ของค่าโดยสาร รถโดยสารวิ่งให้บริการ 1 คัน ถ้าจะให้ได้ต้นทุนต้องมีผู้โดยสาร 16 ที่นั่ง และถ้าเกินนั้นถึงจะมีรายได้บ้าง แต่หากภาครัฐไม่ช่วยเหลือในส่วนนี้ ทางออกตอนนี้ของเจ๊เกียวก็คือขายกิจการ ส่วนสมาชิกตอนนี้ก็สู้น้ำมันไม่ไหว ล้มหายตายจากไปเยอะ แต่จะหยุดวิ่งไหมมันก็มีกฎระเบียบข้อบังคับอยู่ คงก็ต้องปฏิบัติตาม” นางสุจินดา กล่าว
ด้านนายจิรุตม์ กล่าวว่า หลังจากรับฟังข้อเสนอแล้วเบื้องต้นได้มีการเสนอขอปรับค่าโดยสารขึ้น กก.ละ 1 สตางค์ต่อน้ำมันขึ้น 1 บาทต่อ 1 ลิตร ซึ่งในส่วนของประเด็นนี้ ทาง ขบ.จะนำไปเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง อีกครั้งภายในเดือนมิถุนายน นี้เพื่อให้คณะกรรมการฯ เป็นผู้พิจารณาปรับอัตราค่าโดยสารต่อไป
“นอกจากนี้ กรมจะช่วยลดมาตรการด้านค่าใช้จ่าย เช่น การใช้บัตรคูปองส่วนลดค่าน้ำมันดีเซล 2 บาทต่อลิตร หรือ 60 ลิตรต่อวัน เป็นเวลา 3 เดือน ใช้งบประมาณ 3,300 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 1,100 ล้านบาทต่อเดือน โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมรถทั้ง 3 ประเภท
ประกอบด้วย รถโดยสารประจำทางและไม่ประจำประทาง (รถ30) รวมทั้งรถบรรทุกไม่ประจำทาง ซึ่งกรมอยู่ระหว่างเตรียมเสนอต่อกระทรวงคมนาคมพิจารณาเพื่อประสานงานกับกระทรวงคลังและกระพลังงานพิจารณาเรื่องดังกล่าวต่อไป” นายจิรุตม์ กล่าว
นายจิรุตม์ กล่าวอีกว่า ส่วนในเรื่องของการช่วยเหลือเบื้องต้น บขส. จะพิจารณาปรับรถค่าธรรมเนียมเที่ยววิ่ง (ค่าขา) เพื่อลดต้นทุนในการเดินรถในช่วงที่ราคาน้ำมันแพง รวมทั้งจะอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการที่ต้องการประสงค์ให้แจ้งหยุดใช้รถชั่วคราว โดยจะระงับการดำเนินการชำระภาษีรถประจำปี เพื่อนำป้ายทะเบียนรถออกชั่วคราว
หากกลับมาให้บริการจะดำเนินการกลับมาให้บริการตามเดิม ทั้งนี้กรมฯได้เตรียมประสานสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)ในการลดค่าประกะนภัย โดยปรับจากค่าประกันภัย 1 คันต่อ 1 ปี เป็นค่าประกันแบบรายหัวแทน