เตรียมรับมือ มรสุมเศรษฐกิจโลก กระแทกไทย ธปท.ส่งซิกขึ้นดอกเบี้ยตามเฟด คาดใช้น้ำมันแพงอีก 2 ปี จี้คุมการคลัง ตุนกระสุนฟื้นเศรษฐกิจ หมดเวลาทำ คนละครึ่ง

วันที่ 25 พ.ค.65 นายปรเมธี วิมลศิริ ประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ “สภาวะแวดล้อมใหม่ทางเศรษฐกิจและการเงิน” ในงานสัมมนา “New Chapter เศรษฐกิจไทย” จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ เครือมติชน ว่า เศรษฐกิจไทยยังมีปัญหาจากการฟื้นตัวบนความไม่แน่นอน ยังขยายตัวต่ำกว่าที่คาด ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง

โดยล่าสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือ 3% ใกล้เคียงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดไว้ที่ 3.2%

“เศรษฐกิจไทยยังอยู่บนพื้นฐานการขยายตัวบนความไม่แน่นอน โดยมีปัจจัยเสี่ยงทั้งจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่คลี่คลาย การปรับนโยบายการเงินของประเทศต่าง เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เข้มแข็ง มีการขึ้นดอกเบี้ย เพื่อดูแลสมดุลเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในระยะต่อไปอัตราดอกเบี้ย คงต้องมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ของไทยดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.5% แนวโน้มต่อไปคงต้องปรับขึ้นขอดูจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณา”

ทั้งนี้ หลังจากวิกฤตโควิด-19 หลาย ๆ ประเทศต้องเจอวิกฤตรุมเร้าเหมือน ๆ กันที่ต้องเร่งแก้ไข เช่นเดียวกับไทย เช่น การดูแลฐานะการคลังและการเงินของไทย แม้ว่าการคลังยังมีเสถียรภาพ แต่ก็มีเครื่องมือในการกระตุ้นหลือน้อยลง เพราะสัดส่วนหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 58% ของจีดีพี และต้องมีการจัดงบประมาณขาดดุลทุกปีโดยคาดว่าหนี้สาธารณะจะขึ้นอยู่ที่ 67% ของจีดีพีในปี 2569

ดังนั้น เมื่อพ้นวิกฤตต้องจัดการกลับมาอยู่ 60% จีดีพี ให้มีกระสุนด้านการคลัง เพื่อให้มีความสามารถในการใช้นโยบายในอนาคตได้ โจทย์ของการหารายได้ และการบริหารงบประมาณที่มีจำกัด จึงเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาลต่อไป

นอกจากนี้ ประเทศไทย ยังมีความเสี่ยงเรื่องของความเหลื่อมล้ำและเห็นต่างในสังคมที่สูงขึ้น จากโควิด-19 ที่กระทบรายได้โดยเฉพาะกับผู้มีรายได้น้อยอย่างมาก แม้ธุรกิจขนาดใหญ่ยังขยายการลงทุน แต่การว่างงานและหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบสังคมกระทบเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย ความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่แล้วก็ยิ่งมากขึ้นหลังโควิด และความขัดแย้งทางความเห็นในสังคมโซเชียล ถ้าไม่แก้ไขก็เป็นความเสี่ยงของประเทศ รวมทั้ง คุณภาพคนถดถอย เด็กไม่ได้ไปโรงเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาลดลง เด็กยากจนต้องหลุดจากการศึกษา นักศึกษาจบใหม่หางานทำไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในการทำงานระยะยาว

ด้าน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ บริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “เศรษฐกิจ-โอกาส-ความท้าทายใหม่” ว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะออกจากวิกฤตและเข้าสู่วิกฤตใหม่ ซึ่งหากตอบ 2 คำถามนี้ไม่ได้ เศรษฐกิจไทยจะแย่ คือ 1.ไทยจะรับมือกับความผันผวนในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าอย่างไร และ 2.ไทยจะเตรียมการสำหรับ Next Chapter ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร

“เรากำลังเข้าสู่เฟสใหม่ของเศรษฐกิจ มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีคือ เรากำลังออกจากวิกฤตโควิดแล้วเข้าสู่ วิกฤตและความท้าทายใหม่ทันทีแบบไม่มีช่วงให้พัก เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านช่วงของความผันผวน ก่อนจะเข้าสู่ next chapter ของเศรษฐกิจไทยที่แท้จริง”

ทั้งนี้ เศรษฐจกิจไทย กำลังเข้าสู่ความท้าทายใหม่ 7 ด้าน คือ 1.วิกฤตความขัดแย้งระหว่างประเทศสหรัฐ-รัสเซีย ที่ความขัดแย้งจะไม่จบง่าย ๆ เพราะสหรัฐต้องการควบคุมการขยายตัวร้อนแรงของเศรษฐกิจจรัสเซีย หลังจากปูติน ขึ้นเป็นประธานาธิบดี สัดส่วนจีดีพีรัสเซียเมื่อเทียบกับสหรัฐปรับเพิ่มขึ้นจาก 2% เป็น 14% สหรัฐ จึงจำเป็นต้องกดลงให้ได้ เพื่อให้รัสเซียไม่มีรายได้เพียงพอไปสนับสนุนงบประมาณอาวุธ ยุทโธปกรณ์

2.วิกฤตราคาพลังงาน ที่คาดว่าราคาพลังงาน จะปรับขึ้นสูง และค้างในระดับดังกล่าวอีก 2 ปี ไม่ได้ปรับลดลงมาสู่ระดับปกติ ทำให้การออกนโยบายสนับสนุนราคาพลังงานของรัฐบาลไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป 3.วิกฤตอาหารโลก จากรัสเซียลดการส่งออกปุ๋ย ทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องลดการส่งออกอาหารมากขึ้น

4.ความปั่นป่วนตลาดการเงินโลก โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ดอกเบี้ยปรับขึ้นแรงและรวดเร็ว ที่ผ่านมาจากปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง อาจะเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น จากอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดรอบ 40 ปี เงินเฟ้อพื้นฐานที่ 5-6% และมีโอกาสทรงตัวอีกนานค้างสูง ทำให้เฟดต้องทำสงครามกับเงินเฟ้อจากการใช้เครื่องมือเต็มที่ หลังจากจบปี 2565 นี้ เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยเท่าไหร่เพื่อเอาเงินเฟ้อลงมาให้ได้ และเฟดจะไม่มีเมตตา

“การขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เพื่อเป็นการแก้ไข ที่ประเมินสถานการณ์โควิดผิดพลาด จนทำให้ต้องมีการลดดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษและมีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมาก เพราะคิดว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อ แต่ปรากฏว่า โควิด ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ที่ทำไปจึงเป็นต้นตอให้เกิดปัญหาฟองสบู่ เฟดจึงต้องมาเก็บกวาด เร่งขึ้นดอกเบี้ย เร่งดูดสภาพคล่อง และจะขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ จนเงินเฟ้อจะลงมา ซึ่งอาจจะขึ้นดอกเบี้ย 5-6% หรือมากกว่านั้นถ้าจำเป็น”

5.ความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในสหรัฐและประเทศต่าง ๆ จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แค่ 3 ครั้งที่ไม่ส่งผลต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐ และมีโอกาสมากกว่า 60% ที่การขึ้นดอกเบี้ย จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย กระทบต่อการค้า การส่งออก และภาคธุรกิจของไทย 6.วิกฤตตลาด emerging markets โดยเฉพาะประเทศที่มีการกู้เงินมาใช้แก้ไขปัญหาโควิดเป็นจำนวนมาก หากมีการขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ ประเทศเหล่านี้จะเป็นอย่างไร และ 7.ปัญหาเศรษฐกิจจีน ที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ไทยกำลังเข้าสู่ช่วงพิเศษต้องดูแลบริหารจัดการตัวเองให้ผ่านไปให้ได้ เป็นช่วงท้าทายที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะไม่ง่าย ต้องเตรียมการรับมือ มรสุมลูกใหม่กำลังก่อตัวขึ้น ประเทศก็ต้องเตรียมการ ซึ่งปีนี้เครื่องยนต์ส่งออกจะเหลือครึ่งเดียว เพราะเศรษฐกิจโลกจะแผ่วลง

อย่าไปคาดหวังมาก ต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ให้เศรษฐกิจไทย เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะ อีอีซี สนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ และต้องเดินหน้าเรื่องเปิดเมือง ฟื้นการท่องเที่ยวให้ได้ท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เพื่อทำให้ไทยมีแรงส่งเข้าสู่มรสมลูกนี้

ทั้งนิ้ จะต้องสร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจไทย วิกฤตเศรษฐกิจประเทศต่อไป และจำเป็นต้องจัดการเรื่องฐานะการคลัง ซึ่งเห็นว่า มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น คนละครึ่ง ไทยเที่ยวไทย เป็นมาตรการที่ไม่จำเป็นอีกแล้ว ต้องคิดใหม่ ให้ภาคการคลังสู่สมดุลได้กว่านี้ ทำอย่างไรให้ดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวดีขึ้น

ส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศยังไปได้ และต้องดูแลสถาบันการเงินให้เข้มแข้ง ประชาชน และภาคธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ รวมทั้งเตรียมการสำหรับ Next Chapter ทำอย่างไร ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง ทั้งการผลักดันให้ไทย เป็น Regional Head Quarters , R&D Centers , Logistic Hub , New S-curve และ สนับสนุนผู้ประกอบการสตาร์ตอัพ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน