รมว.คลังแจงบาทแข็งช่วยนำเข้าน้ำมันถูกลง แต่ยังลดราคาดีเซลไม่ได้ เพราะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงติดลบแสนล้าน

ขุนคลังแจงบาทแข็ง – นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยถึงสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้นในปัจจุบัน ว่า มองว่าภาคส่งออกไม่ได้รับความเดือดร้อนหรือผลกระทบ โดยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนั้นเป็นหน้าที่ของ ธปท. ที่จะต้องดูแลไม่ให้แข็งค่าเกินไป หรืออ่อนค่าเกินไป ขณะที่ภาคธุรกิจเองก็ต้องมีการปรับตัว มีการบริหารความเสี่ยง โดยอาจหันมาใช้วัตถุดิบภายในประเทศมากขึ้น

“บาทที่แข็งค่านั้นจะมีผลดีกับการนำเข้าน้ำมัน ซึ่งจะนำเข้าได้ในราคาที่ถูกลง แต่ก็ยังไม่สามารถปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงได้ เพราะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังติดลบอยู่กว่า 1 แสนล้านบาท การตรึงราคาขายในระดับปัจจุบันเป็นการช่วยเรื่องสภาพคล่องของกองทุนฯ กรณีที่หากในอนาคตราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น กองทุนฯ ก็จะมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะเข้าไปรองรับการชดเชยราคาขายปลีกในประเทศในอนาคต”

นายอาคม กล่าวว่า การส่งออกที่เราเจอปัญหาขณะนี้บางส่วนเกี่ยวกับเรื่องซับพลายเชน วัตถุดิบสำคัญพวกไมโครชิปที่จะได้รับผลกระทบก็อาจจะส่งผลต่อการส่งออกของไทยในปีนี้อาจไม่สูงเหมือนปีที่แล้ว แต่ก็เป็นสถานการณ์ที่เจอเหมือนกันทั่วโลก ทั้งเงินเฟ้อสูง การขาดแคลนอาหาร แต่อยากให้มองว่าการส่งออกอาหารจะเป็นอีกโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการในการสร้างรายได้กลับเข้ามาในประเทศ

รวมถึงไทยต้องมีการบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับตลาดต่างประเทศ การทำมาค้าขายในอาเซียนด้วยกันเอง หรือกลุ่มต่างๆ ในเอเชียมีความสำคัญ ผ่านการทำ FTA ดังนั้นไทยจึงควรมีการกระจายความเสี่ยงไปในตลาดต่างๆ ด้วย” นายอาคม กล่าว

สำหรับแนวทางการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น มองว่า การดำเนินการต้องดูในจังหวะเวลาที่เหมาะสม หากเศรษฐกิจฟื้นตัว ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น การปรับขึ้นค่าแรงก็สามารถทำได้ แต่หากอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ การใช้จ่ายของประชาชนอาจได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจนทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคหลายรายการปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลก็ได้เข้าไปช่วยเหลือผ่านมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพ

โดยในวันที่ 11 ส.ค. นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีการเสนอมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟเพื่อช่วยเหลือกลุ่มที่กำลังเดือดร้อนเพิ่มเติมด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน