แบงก์ชาติ หั่นจีดีพีปีนี้เหลือ 3% หลังเศรษฐกิจไตรมาส 2 โตต่ำกว่าเป้า ย้ำขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนบาทผันผวน แต่เงินไหลเข้า-ออกยังไม่ผิดปกติ

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/2565 ที่ 2.5% ต่ำกว่าที่ ธปท.คาดการณ์ ดังนั้น จึงคาดว่าเศรษฐกิจเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะขยายตัวได้ราว 3% และปี 2566 ที่ 4% โดยจะมีการคาดการณ์ตัวเลขใหม่อีกครั้งในเดือน ก.ย.นี้ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.3% ในปี 2565

“ต้องติดตามสถานการณ์อีกครั้งว่าจะอยู่ที่เท่าไหร แต่เศรษฐกิจไตรมาส 2 ที่ผ่านมาออกมาต่ำกว่าคาดที่ 2.5% ทำให้ต้องดู เพราะยังมีหลายปัจจัย โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวชัดเจน 7 เดือนแรกต่างชาติเข้าไทย 3.2 ล้านคน คาดทั้งปีนี้อาจเพิ่มขึ้นเป็น 8 ล้านคน และยังมีการใช้จ่ายในประเทศที่เริ่มกลับมาดี จากการอัดอั้นการใช้จ่ายช่วงก่อนหน้าและรายได้เริ่มฟื้นตัว”

อย่างไรก็ตาม เรื่องความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวนั้น เห็นว่าผลกระทบต่อไทยอาจไม่ได้โหดร้าย เพราะที่ผ่านมาไทยพึ่งพาจากอุปสงค์ในประเทศที่จะมีต่อเนื่องและภาคการท่องเที่ยวที่จะมาผลักดันเศรษฐกิจไทยจากนี้ ซึ่งในด้านอุปสงค์มาจากรายได้คนดีขึ้นและที่สำคัญคือการท่องเที่ยวที่โครงสร้างเศรษฐกิจของไทยมีภาคท่องเที่ยว 12% และคิดเป็น 20% เกิดการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อม และจะเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

“มองว่าความเสี่ยงกระทบด้านการท่องเที่ยวได้นั้นไม่ใช่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่จะเป็นเรื่องโรคระบาดการกลายพันธุ์มากกว่าที่น่าเป็นห่วง เพราะคนอาจไม่กล้าเดินทาง”

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงต่อไป จะปรับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่การส่งผ่านนโยบายไปยังธนาคารพาณิชย์เป็นสิ่งที่อยากเห็น แต่ด้วยบริบทเศรษฐกิจไทยที่พึ่งฟื้นตัว และยังมีความเปราะบางในบางกลุ่มโดยเฉพาะเอสเอ็มอีมีรายได้ต่ำ ทำให้อยากเห็นธนาคารพาณิชย์ปรับดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเช่นกัน

อย่างไรก็ดี เชื่อว่ากลไกสถาบันการเงินจะทำงานได้เอง ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวะเป็นหลัก การส่งผ่านดอกเบี้ยที่ผ่านมามักจะค่อนข้างเร็วและการส่งผ่านเศรษฐกิจต้องใช้เวลา 2 ไตรมาสกว่าจะเห็นผล

ทั้งนี้ การขึ้นดอกเบี้ยต้องดูบริบทของไทยทั้ง 3 เรื่อง ประกอบด้วย การขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ตรงไหน ระดับเงินเฟ้อไทย และปัจจัยเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจ รวมทั้งต้องให้แน่ใจว่ากลไลธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อได้ต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์อยู่ระดับดีเมื่อเทียบกับในอดีตและดีเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน แต่ยังติดในบางจุด เช่น การเข้าถึงสินเชื่อของธุรกิจเอสเอ็มอี








Advertisement

ดังนั้น จึงต้องยังมีมาตรการเฉพาะจุด ทั้งสินเชื่อฟื้นฟู และโครงการพักทรัพย์พักหนี้ ที่จะหมดอายุมาตรการเดือนเม.ย.2566 ซึ่งหากจำเป็นต้องต่อก็จะขยายเวลาออกไป โดยมาตรการที่มีอยู่เพียงพอแต่อยู่ที่การผลักดันให้เกิดประสิทธิผลอย่างมาตรการแก้หนี้ และไกล่เกลี่ยหนี้

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เรื่องหนี้ครัวเรือนมีความเป็นห่วง ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่อยู่กับไทยมายาวนาน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาหนี้ครัวเรือนเพิ่มถึง 30% และการแก้ไขปัญหาต้องใช้เวลา ไม่มีอะไรเร็ว โดยเป็นห่วงกลุ่มเปราะบาง และครัวเรือนรายได้ต่ำมากที่สุด เพราะยังฟื้นตัวช้า แต่ยืนยันหนี้ครัวเรือนไม่ได้กระทบเสถียรภาพและไม่ได้เกิดวิกฤติสถาบันการเงิน

สำหรับปัญหาหนี้ครัวเรือน ธปท.เห็นว่าต้องแก้ด้วยรายได้ ในด้านแก้หนี้ก็ต้องทำ แต่ถ้ารายได้ไม่มาก็ไปใม่รอด ดูองค์รวมการแก้หนี้ต้องให้เศรษฐกิจฟื้นได้ ต้องให้รายได้กลับมา ถ้าเงินเฟ้อหรือรายจ่ายสูง ก็กระทบกับความสามารถชำระหนี้ ซึ่งการแก้หนี้มีหลายส่วน

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวถึงความผันผวนของค่าเงินบาทเป็นสิ่งที่ ธปท.ไม่อยากเห็น แต่ความผันผวนตอนนี้มาจากความผันผวนของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เพราะเงินดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ จากธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด สิ่งที่ทำได้คือต้องไม่ทำให้เงินบาทผันผวนสูงและเร็ว เพื่อให้เอกชนสามารถปรับตัวรับมือได้

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าความผันผวนของเงินบาทมาจากเงินเฟ้อสหรัฐเริ่มชัดที่ว่าขึ้นไปสูงสุดแล้ว ทำให้บรรยากาศตลาดเริ่มชัดขึ้น ทำให้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงิน สกุลเงินในภูมิภาค ทำให้เงินบาทเปลี่ยนไป ซึ่งช่วงนี้มีเงินไหลเข้ามา ยืนยันว่ายังไม่เห็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในด้านเงินไหลเข้าและไหลออก

โดยนับตั้งแต่ต้นปีจนปัจจุบันมีเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตรระยะสั้น 4,800 ล้านดอลลาร์ ซึ่งตอนแรกตลาดเป็นห่วงส่วนต่างดอกเบี้ยสูงทำให้เงินไหลออก แต่เวลานี้ตลาดน่าจะเป็นห่วงเพราะเงินไหลเข้า จากเงินบาทเริ่มแข็งค่า

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน