‘อาคม’แจงแบงก์ชาติเกาะติดใกล้ชิดหลังเฟดยังมุ่งมั่นขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง ฟุ้งสถาบันการเงินพยายามตรึงดอกเบี้ยช่วยลูกค้า

ธปท.เกาะติดเฟดขึ้นดอกเบี้ย – นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.75% สู่ระดับ 3.75-4.00% ว่า เรื่องนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ในส่วนของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังเป็นขาขึ้นนั้น ที่ผ่านมาสถาบันการเงินได้พยายามตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ให้นานที่สุดแล้ว โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นการเพิ่มต้นทุนให้ผู้ประกอบการและรายย่อย

“ธปท. ได้มีการพิจารณาถึงภาระและผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอยู่แล้วว่าจะมีกับใครบ้าง และพยายามบรรเทาผลกระทบให้ดีที่สุด เพราะเรายังอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจเพิ่งฟื้นตัว แต่ก็ต้องยอมรับว่าสหรัฐฯ ยังไม่หยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย ครั้งนี้ก็ขึ้นเยอะ และยังเหลืออีก 1-2 ครั้ง ก็ต้องช่วยกันประคองให้ระบบการเงินของเราไปได้ และไม่เป็นหนี้เสีย โดยอาจจะต้องมาดูเรื่องวินัยการเงิน การบริหารเงินที่ต้องเข้มงวดกับตัวเองมากขึ้น และเรื่องเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวนี้ก็จะเป็นตัวช่วยให้รายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจกลับเข้ามา” นายอาคม กล่าว

น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์และโฆษก ธปท. เปิดเผยว่า การตัดสินนโยบายล่าสุดของเฟด และการสื่อสารเกี่ยวกับแนวนโยบายในอนาคตเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดไว้ โดยขณะนี้ เฟดมุ่งมั่นที่จะดูแลเงินเฟ้ออย่างเต็มที่ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐเองในระยะยาว ทั้งนี้ หลังการประชุมอาจเห็นความผันผวนระยะสั้นในตลาดการเงินโลกและไทยบ้าง ซึ่ง ธปท. ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด

ในส่วนของการดำเนินนโยบายของไทยในระยะต่อไป ก็ต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับบริบทของไทยเช่นกัน ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน โดยการดำเนินนโยบายจะมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์และให้ทันกาล ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้สื่อสารมาต่อเนื่อง

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท การตัดสินนโยบายของเฟดส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเทียบกับทุกสกุล โดยในช่วงเช้า ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ ปรับอ่อนค่าลง 0.8% และดัชนีค่าเงินบาท (เทียบสกุลภูมิภาค) ปรับอ่อนลง 0.34% ด้านเงินทุนเคลื่อนย้าย ยังไม่พบสัญญาณผิดปกติ

อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันที่ 2 พ.ย. 2565 เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลง 11% โดยถือว่าอ่อนในระดับกลาง ๆ เทียบกับสกุลเงินในภูมิภาค ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินบาทอ่อนลงเพียง 0.7% สำหรับนักลงทุนต่างชาติยังมีฐานะเป็นซื้อสุทธิในสินทรัพย์ไทยประมาณ 1.1 แสนล้านบาท (ซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์กว่า 1.6 แสนล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตรที่ 0.5 แสนล้านบาท)

“ธปท. ได้ติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทและเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด โดยภาคเอกชนควรบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงินในสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง” น.ส.ชญาวดี กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน