นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ที่ปรึกษาประจำสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยถึงผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 จากการสอบถาม 1,350 กลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ ว่าคนส่วนใหญ่ 46.5% จะไม่ไปเล่นน้ำสงกรานต์, 35% เล่นน้ำสงกรานต์ และ 18.6% ไม่แน่ใจ โดยกิจกรรมที่นิยมทำมากที่สุด คือ ทำบุญ รองลงมาคือ เล่นน้ำสงกรานต์ สังสรรค์ ไหว้พระ ทำอาหารทานที่บ้าน และท่องเที่ยว

คนส่วนใหญ่ 72.8% วางแผนเดินทางช่วงสงกรานต์ และอีก 27.2% จะพักผ่อนอยู่บ้าน โดยคนที่วางแผนเดินทางจะเน้นท่องเที่ยว สำหรับในประเทศ นิยมเที่ยวภาคกลางมากที่สุด 46.7% อาทิ ชลบุรี เพชรบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชายทะเล รองลงมา คือภาคเหนือ 23.0% เช่น เชียงใหม่ นครวสวรค์, ตะวันออกเฉียงเหนือ 13.1% เช่น นคราราชสีมา เลย, ภาคใต้ 9.8% เช่น กระบี่ ภูเก็ต และกรุงเทพฯ และปริมณฑล 7.4% เช่น กรุงเทพฯ สมุทรสาคร มีค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศเฉลี่ย 7,091 บาท/คน ต่างประเทศ 45,681 บาท/คน โดยปัญหาโคววิด-19 และฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจท่องเที่ยว

ส่วนกิจกรรมใช้จ่ายอันดับ 1 คือทำบุญ 1,109 บาท/คน เมื่อเทียบกับปีก่อนเพิ่มขึ้น 27.7%, เล่นน้ำสงกรานต์ 862 บาท/คน เพิ่มขึ้น 19.5%, จัดเลี้ยง 2,184 บาท/คน เพิ่มขึ้น 40%, ไหว้พระ 668 บาท/คน เพิ่มขึ้น 35.2%, ซื้อสินค้าคงทน 4,443 บาท/คน เพิ่มขึ้น 53%, ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย 951 บาท/คน เพิ่มขึ้น 45.1% ส่วนบรรยากาศสงกรานต์ปีนี้คนส่วนใหญ่ 45.1% มองว่าสนุกมากกว่าปีก่อน, 40.4% มองว่าสนุกเท่าเดิม, 9% มองว่าสนุกน้อยกว่า และ 5.5% มองว่าไม่สนุก

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า สงกรานต์ปีนี้จะคึกคักมากกว่าปีก่อน เนื่องจากคนอั้นมานาน เห็นได้จากคนส่วนใหญ่ 72.8% มีแผนเดินทางท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์มากขึ้น มีแผนใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งสินค้าคงทน และสินค้าฟุ่มเฟือย รวมทั้ง คนส่วนใหญ่ 35.4% ยังตอบว่าปีนี้จะซื้อสินค้าปริมาณมากขึ้น ส่วนที่เหลือ 24.8% จะซื้อลดลง

“สงกรานต์ปีนี้จะมีเงินสะพัดสูงถึง 125,203 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 106,772 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 17.3% คาดว่าจะช่วยกระตุ้นจีดีพี ให้โตเพิ่มได้อีก 0.5-0.7% เนื่องจากปัญหาโควิดคลี่คลาย ที่ผ่านมาคนอั้นมานาน ทำให้ปีนี้ คนจะออกมาเล่นน้ำสงกรานต์ ใช้จ่าย สังสรรค์ ท่องเที่ยว ซื้อสินค้ามากขึ้น รวมทั้งยังเป็นช่วงที่ทับซ้อนกับช่วงเลือกตั้งจึงทำให้คึกคักมากขึ้นไปอีก”

ส่วนผลการสำรวจทัศนะต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2566 คนส่วนใหญ่ 43.3% มองว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 2.5-3% เนื่องจากภาคส่งออกชะลอตัว เศรษฐกิจโลกยังอึมครึม ขณะที่ภาคท่องเที่ยวและการค้าของไทย ฟื้นตัวจากโควิด-19 เพียง 60-80% เท่านั้น รวมทั้งล่าสุดโอเปกได้ปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 1ล้านบาร์เรล/วัน อาจทำให้ในระยะสั้น ราคาอาจพุ่งจาก 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ไปอยู่ที่ 80-90 เหรีญสหรัฐ/บาร์เรลได้

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ม.หอการค้าไทย ยังคงเป้าหมายจีดีพีปี 2566 ไว้ที่ 3-4% โดยคาดหวังว่า เม็ดเงินสะพัดเลือกตั้ง 1-1.2 แสนล้านบาท จะทำให้จีดีพีไตรมาส 2 โตเพิ่มได้อีก 1-1.5% ขณะที่การส่งออกไทยจะเริ่มฟื้นขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3-4 อาจเกิดสุญญากาศทางเศรษฐกิจจากการเลือกตั้ง ดังนั้นจะต้องเร่งให้มีการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อผ่านงบประมาณให้เร็วที่สุด รวมทั้งเร่งการเบิกจ่ายงบผูกพันอย่างต่อเนื่อง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน