นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้า จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาถ้าพิจารณาจากรายงานจัดอันดับความเชื่อมั่นต่างชาติหลายราย ก็เป็นห่วงในเรื่องของความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย รวมทั้งนโยบายที่จะออกมาหลังจากที่ได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งภาคธุรกิจ ตลาด นักวิเคราะห์ อยากเห็นการทำนโยบายการเงินและนโยบายการคลังกลับสู่ภาวะปกติ (Policy Normalization) ต้องให้ความสำคัญกับเสถียรภาพเศรษฐกิจ

“ความไม่แน่นอนเรื่องรัฐบาล ใครจะมา มาเมื่อไหร่ จะไม่กระทบภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ให้เปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะในประมาณการ ธปท. ได้รวมสมมติฐานไปหมดแล้ว คาดว่างบประมาณจะล่าช้าไป 1 ไตรมาส แต่ข้อเท็จจริงกระบวนการยังเป็นไปตามปกติ งบประจำยังเบิกจ่ายใช้ โดยไตรมาส 4/2566-ไตรมาส 1/2567 ที่หายไปจริงๆ คือ งบลงทุน แต่ก็ไม่ได้มีสัดส่วนมาก คงไม่กระทบปีนี้ แต่จะไปกระทบปี 2567”

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า มุมมองเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ยังมีศักยภาพในการขยายตัวได้ในระดับ 3-4% ซึ่งการทำนโยบายรัฐบาลควรมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างเสถียรภาพ มากกว่าการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าดูตัวเลขการบริโภคเอกชนครึ่งปีแรก ขยายตัวได้ 5% การกระตุ้นการบริโภคจึงอาจจะยังไม่จำเป็น ขณะที่การท่องเที่ยวก็เริ่มฟื้นกลับมา ควรมุ่งนโยบายในการสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ เรื่องหนี้ ต้องใช้อย่างระมัดระวัง

ทั้งนี้ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ค่อนข้างสูงที่ระดับ 90% ของจีดีพี ขณะที่หนี้สาธารณะอยู่ที่ 60% ต้นๆ ของจีดีพี ถ้าอยากให้เศรษฐกิจโต ใช้วิธีไหนก็กระตุ้นเศรษฐกิจได้ทั้งนั้น ซึ่งการกู้เงิน ถ้าเป็นครัวเรือน การกู้ก็เป็นการบริโภค เป็นรัฐบาลกู้ ก็เป็นใช้ในนโยบายรัฐ และการลงทุน แต่ถ้าเอกชนกู้มา ก็จะเป็นการกู้เพื่อการลงทุน คิดว่าอยากได้แบบไหนจริงๆ ที่เศรษฐกิจไทยขาดที่สุดคือ การลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งไม่ใช่ช่วยแค่กระตุ้นเศรษฐกิจเท่านั้น

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยัง ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ครึ่งหลังของปีมองว่าจะขยายตัวได้ 4.2% จะดีกว่าครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 2.9% ได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคเติบโตดี และตัวหัวใจสำคัญคือภาคการท่องเที่ยว ที่ปีนี้คาดว่า 29 ล้านคน ส่วนกรณีที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ที่ออกมาไม่ค่อยดี ทำให้คาดว่าการส่งออกของไทย ทั้งปีคือแทบจะไม่โต

ขณะที่เงินเฟ้อ ธปท. ยอมรับว่าต่ำกว่าที่คาด โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จากราคาอาหาร ราคาพลังงานโลก ที่ปรับ แต่ก็เป็นปัจจัยชั่วคราว คาดว่าทิศทางเงินเฟ้อจะกลับขึ้นมา หลักๆ จากฐานลดลง โอกาสที่เงินเฟ้อต่ำแบบสุดๆ ต่อเนื่องไปข้างหน้าคงไม่ใช่ เงินเฟ้อมีโอกาสขึ้น และขึ้นมากกว่าที่เห็น จากปัจจัย 1.ท่องเที่ยวฟื้นกลับมา จะเห็นหมวดการบริการมีโอกาสเฟ้อจะขึ้น และ 2.การใช้กำลังการผลิตใช้มากขึ้น โอกาสส่งผ่านต้นทุนของภาคธุรกิจก็จะเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อที่ปรับลดลงกว่าที่คาดแต่มีโอกาสปรับสูงขึ้นในระยะต่อไป ส่งผลให้นโยบายการเงินจึงไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะมุมมองการฟื้นตัวเศรษฐกิจและแนวโน้มเงินเฟ้อยังเป็นไปตามที่ ธปท. คาดไว้ ยังจำเป็นต้องทำนโยบายการเงินกลับสู่ภาวะปกติ แบบค่อยเป็นค่อยไป ที่ไม่ได้ดูแค่เงินเฟ้อ ต้องดูปัจจัยเชิงระยะยาว ให้กลับสู่สภาวะปกติ หาจุดที่เหมาะสม สมดุลของดอกเบี้ย เหมาะให้เศรษฐกิจ ขยายตัวได้ตามศักยภาพ เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย 1-3% และไม่ได้สร้างปัญหาเสถียรภาพการเงิน ไม่ใช่การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจัดการเงินเฟ้อ

ตอนนี้ภาพรวมความจำเป็นต้องหยุดการทำนโยบายการเงินกลับสู่ภาวะปกติยังไม่เห็น เราไม่อยากให้ตลาดเข้าใจเงินเฟ้อลงแล้ว เหมาะที่จะหยุดขึ้นดอกเบี้ย แต่เงินเฟ้อที่ลงเป็นเรื่องชั่วคราว มีโอกาสกลับขึ้นมา เราอยากเห็นเงินเฟ้อเข้าสู่กรอบอย่างยั่งยืน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายแท้จริงติดลบถ้านานก็มีผลต่อ พฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนของนักลงทุน (Search for Yield) มีความเสี่ยงในการลงทุน พฤติกรรมการออม การกู้ เป็นปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง ให้ดอกเบี้ยกลับมาสมดุล”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน