เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ที่ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ว่า เบื้องต้นได้รับทราบจากการรถไฟฯ ถึงผลประกอบการ พบว่าหลายปีที่ผ่านมา มีหนี้สะสมประมาณ 2 แสนล้านบาท จึงมอบหมายให้การรถไฟฯ หาวิธีดำเนินการเพิ่มรายได้ และลดรายจ่าย

โดยตั้งเป้าภายในปีงบประมาณ 2567 การรถไฟฯ จะต้องไม่มีหนี้สะสม หรือมีกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (อีบิตด้า) เป็นบวก โดยจะต้องมีการอัพเดตผลดำเนินงานทุกๆ 3 เดือน

“การรถไฟฯ มีจุดแข็งเนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่มีคู่แข่ง แต่จุดอ่อน คือเรื่องการพัฒนาที่มีความล่าช้า ซึ่งการรถไฟฯ จะต้องมุ่งเน้นเรื่องจุดขายในการดึงผู้โดยสารมาใช้บริการ เพื่อเพิ่มรายได้ให้มาอยู่ที่ 30% หรือประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันมีรายได้จากการขนส่งสินค้าทางรถไฟอยู่ที่ 3% หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยหลังจากนี้จะตั้งทีมการตลาด เพื่อดึงรัฐวิสาหกิจ และเอกชน เข้ามาร่วมดำเนินการต่อไป” นายสุรพงษ์ กล่าว

สำหรับโครงการสำคัญของการรถไฟฯ ที่จะนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้น ที่ประชุมได้พิจารณาเล็งเห็นว่าจะเสนอโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 สายหาดใหญ่-ปาดังเปซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร (ก.ม.) วงเงิน 6,660 ล้านบาท มีความจำเป็นที่จะต้องนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ในวันที่ 19 ต.ค.นี้ ก่อนที่จะนำเสนอให้ ครม. เห็นชอบภายในเดือนพ.ย.นี้ ทั้งนี้ สาเหตุที่จะนำโครงการดังกล่าวเสนอเข้าที่ประชุมก่อนนั้น เนื่องจากเป็นแนวเส้นทางที่จะช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างชายแดน และเพิ่มความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชนมากขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม จะมีการเสนอโครงการรถไฟทางคู่ สายขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 ก.ม. วงเงิน 29,748 ล้านบาท และโครงการรถไฟทางคู่ สายปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 285 ก.ม. วงเงิน 62,800 ล้านบาท และช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 308 ก.ม. วงเงิน 3.75 หมื่นล้านบาท เข้าบอร์ด รฟท. หลังจากนั้นจะต้องขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง และกรมการขนส่งทางราง เป็นต้น และกลับมาที่เสนอกระทรวงคมนาคม ก่อนเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้เช่นเดียวกัน โดยทั้งสี่เส้นทางดังกล่าวคาดว่าจะเปิดประมูลได้ประมาณปี 2567

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ในการประชุมฯ ยังได้รับรายงานจาก บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) ถึงการนำที่ดินของการรถไฟฯ มาหารายได้ นั้น เบื้องต้นได้มอบหมายให้บริษัทฯ เร่งถ่ายโอนสัญญาทรัพย์สินให้มากขึ้น โดยปัจจุบันพบว่ามีการโอนแล้วเพียง 1% ส่วนเรื่องการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในสถานนีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษา เพื่อหารายได้เพิ่มเติมร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า)

“ผมได้มอบหมายให้ บริษัทฯ ไปพิจารณาถึงกฎระเบียบที่ติดขัดหากติดปัญหาในเรื่องกฎระเบียบของรถไฟ ก็ควรแก้ไขปัญหาที่บอร์ด รฟท. หากติดปัญหาที่ครม. ก้ต้องแก้ไขที่ ครม. หากต้องปัญหาเรื่องพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ก็ควรแก้ไขที่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้กฎหมายฯ มีความทันสมัยและมีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันกฎหมายของระบบขนส่งทางรางยังไม่ค่อยมีความทันสมัย เพราะไม่ได้มีการปรับปรุงมานาน” นายสุรพงษ์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน