นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึง ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย (เงินเฟ้อ) เดือนม.ค. 2567 เท่ากับ 106.98 เมื่อเทียบกับเดือนม.ค. 2566 มีอัตราลดลง 1.11% ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และต่ำสุดในรอบ 35 เดือน เป็นผลมาจากราคาสินค้าหมวด ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 1.13% ตามการลดลงของราคาน้ำมันในกลุ่มดีเซล แก๊สโซฮอล์ และค่ากระแสไฟฟ้า เสื้อผ้าบุรุษและสตรี สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด เช่น ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจานราคาลดลง
ขณะที่หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลง 1.06 %ตามการลดลงของของราคาสินค้าในกลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่และสัตว์น้ำ เช่น เนื้อสุกร ไก่สด ปลาทู กุ้งขาว ปลากะพง ผักสด เช่น มะเขือ มะนาว แตงกวา และผลไม้ เช่น ส้มเขียวหวาน ลองกอง มะม่วง เนื่องจากปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก
“เงินเฟ้อติดลบเป็นเดือนที่ 4 แล้ว และยังมีแนวโน้มติดลบต่อเนื่องถึงช่วงไตรมาสที่ 1 ปีนี้ โดยไตรมาส 1 อาจจะติดลบ 0.7% แต่ยังไม่น่ากังวลเพราะยังไม่ใช่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากเป็นผลจากมาตรการแทรกแซงราคาพลังงาน และค่าไฟฟ้าของรัฐบาล รวมผักสด และเนื้อหมูยังมีราคาลดลงมาก ขณะที่ฐานราคาเดือนม.ค. 2566 ที่ใช้คำนวณเงินเฟ้อค่อนข้างสูง ขณะที่ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนม.ค. 2567 ซึ่งมีการตัดปัจจัยราคาน้ำมันและอาหารสด ยังมีอัตราเป็นบวก 0.52% ซึ่งเป็นอัตราค่อนข้างทรงตัวไม่ผันผวน”
นายพูนพงษ์ กล่าวต่อว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะพลิกขยายตัวเป็นบวกได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่มาตรการพยุงราคาพลังงานและไฟฟ้าจะสิ้นสุด โดยกระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ทั้งปีนี้เงินเฟ้อจะอยู่ระหว่าง -0.3 – 1.7% โดยมี ค่ากลางอยู่ที่ 0.7% ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบอัตราเงินเฟ้อของไทยกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนธ.ค. 2566 พบว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยลดลง 0.83% ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 3 จาก 139 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และยังคงต่ำที่สุดในอาเซียนจาก 7 ประเทศที่ประกาศตัวเลข คือ สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย
โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2566 ที่ผ่านมาพบว่าของไทยสูงขึ้นเพียง 1.23% อยู่ระดับต่ำอันดับที่ 9 จาก 139 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของหลายประเทศที่มีทิศทางชะลอตัวจากปี 2565 ค่อนข้างชัดเจน