นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี กล่าวว่า ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในการพัฒนาสภาพแวดล้อมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

โดยจะร่วมกันดำเนินการ 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1.ผลักดันผู้ประกอบการในอีอีซีให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพ ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ และต่อยอดธุรกิจในอนาคต ร่วมจัดกิจกรรมสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ 2.ร่วมกันผลักดันให้ผู้ประกอบการในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมเป้าหมายและผู้ประกอบการสตาร์ตอัพให้สามารถรับเงินทุนสนับสนุนผ่านกองทุนอินโนเวชั่นวัน (Innovation One) หรือจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เพื่อพัฒนาธุรกิจนวัตกรรม

และ 3. ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการทั้ง Project-Based และ Flagship Projects ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของพื้นที่อีอีซี พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนที่มีศักยภาพ

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานส.อ.ท. กล่าวว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่อีอีซี ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม (เอส-เคิร์ฟ) และอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ โดยในปี 2566 มีมูลค่าการลงทุนกว่า 38,613 ล้านบาท และมีสมาชิก ส.อ.ท. ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวจำนวน 1,209 ราย ครอบคลุม 3 จังหวัด ทั้งระยอง ชลบุรีและฉะเชิงเทรา

“ส.อ.ท. พร้อมจะสนับสนุนด้านข้อมูลผลิตภัณฑ์และบริการของเครือข่ายสมาชิก ส.อ.ท. ที่ประกอบด้วย 46 กลุ่มอุตสาหกรรมและ 11 คลัสเตอร์ ครอบคลุม 76 จังหวัด ให้แก่ผู้ประกอบการในพื้นที่อีอีซี เพื่อก่อให้เกิดการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ และยกระดับภาคอุตสาหกรรมจากอุตสาหกรรมดั้งเดิม สู่อุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต สอดคล้องกับนโยบาย ONE FTI และปัจจุบัน ส.อ.ท. ได้จัดตั้งโครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” เพื่อช่วยสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะนำเทคโนโลยีนวัตกรรมเข้ามาช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการในภาคอุตสาหกรรม”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน