ธปท.จ่อแตะเบรก เรียกเก็บค่ารูดบัตร 1 % จ่ายบริการต่างประเทศ เรียกแบงก์กางต้นทุนแจงยิบ ก่อนมีผลบังคับใช้ 1 พ.ค.2567

วันที่ 7 มี.ค.67 นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เตรียมเรียกสถาบันการเงินเข้ามาชี้แจง กรณีจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินต่างประเทศเป็นสกุลเงินบาท (DCC Fee) ในอัตรา 1% ของยอดใช้จ่าย ผ่านรายการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตวีซ่า/มาสเตอร์การ์ด ชำระค่าสินค้าหรือบริการ ด้วยสกุลเงินบาทกับร้านค้า , ร้านค้าออนไลน์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ และการกดเงินสดที่เลือกเป็นสกุลเงินบาทผ่านตู้ ATM ในต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2567 เป็นต้นไป ว่ามีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการให้บริการในส่วนนี้อย่างไร

ทั้งนี้ ธปท.จะพิจารณาว่า ค่าธรรมเนียมดังกล่าว มีการเรียกเก็บอะไร มีการเก็บเท่าไหร่ ก็ต้องมาพิจารณาหลักการ ว่าในบริการนั้นๆ ผู้ที่ได้ประโยชน์คือใครก็ควรต้องรับต้นทุนในส่วนนี้ โดยพิจารณาเทียบเคียงที่มาที่ไปของต้นทุน และต่อให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้นจริง ผู้คิดค่าบริการก็ต้องมีการประกาศออกไป ให้ประชาชนทราบว่าเป็นการเสียค่าใช้จ่ายอะไร ประชาชนก็ต้องไปเลือกใช้อย่างอื่น ไม่ใช่ลักษณะบังคับต้องจ่าย เป็นหลักโดยทั่วไป

“เหมือนมีถนนหลายเส้น ถ้าเส้นลัดต้องมีจ่ายค่าผ่านทาง แต่ถ้าเราไม่อยากไปเส้นลัด ก็ไปเส้นยาวหน่อย ก็เสียเงิน แต่ไม่ใช่ปิดเส้นฟรี แล้วบังคับให้ไปใช้เส้นเสียเงิน ก็ไม่ถูก ควรเปิดข้อมูลให้เห็นทั้ง 2 ฝั่งแล้วให้ประชาชนเลือกเอง”

นายสมชาย กล่าวว่า ส่วนกรณีเรียกเก็บ 1% สูงไปหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถตัดสินได้ ธปท.ต้องรับฟังทั้ง 2 ด้าน ซึ่งกรณีนี้มี 3 ฝ่าย คือ 1.ผู้ใช้บริการที่เป็นผู้ถูกเรียกเก็บ 2.ทางสถาบันการเงินที่เป็นคนเก็บ และ 3.ตัวกลาง คือ วีซ่า/มาสเตอร์การ์ด ที่ผ่านมา ธปท.ได้รับผู้ใช้บริการแล้ว ก็ขอฟังทั้ง 2 ด้าน แต่เชื่อว่าการหารือจะจบได้ก่อน 1 พ.ค. ตอนนี้ยังพอมีเวลา ธปท.ก็ร้อนใจ และไม่ได้นิ่งนอนใจเข้ามาตรวจสอบในเรื่องนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ให้บริการที่จดทะเบียนในต่างประเทศ ที่ผู้ใช้งานก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม เช่น Netflix, FACEBOOK, GOOGLE, AIRBNB, EBAY, SPOTIFY, ALIBABA ,VIU, Agoda, , APPLE, TikTok, PAYPAL เป็นต้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน