นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการพลังงาน (กกพ.) คนใหม่ ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า ขณะนี้ กกพ. อยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติตลาดโลก และตัวแปรต่างๆ ทั้งปริมาณก๊าซ อัตราแลกเปลี่ยน การผลิตไฟฟ้าประเภทต่างๆ ให้ครบถ้วนรอบด้าน เพื่อประกอบการพิจารณาอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) สำหรับคำนวณค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บจากประชาชนงวดสุดท้ายของปีนี้ช่วงเดือนก.ย.-ธ.ค. 2567 ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนประมาณต้นเดือนก.ค.นี้
“ขณะนี้กำลังรวบรวมปัจจัยต่างๆ ที่เป็นตัวแปรสำคัญในการคำนวณค่าไฟงวดเดือนก.ย.-ธ.ค. 2567 ซึ่งจะเห็นว่าช่วงนี้ราคาก๊าซอ่อนตัวลงจากที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ จึงมองว่าน่าจะส่งผลดีต่อการพิจารณาค่าเอฟทีด้วย แต่ กกพ. ก็ต้องชั่งน้ำหนักทุกตัวแปรให้สมดุล และกำกับดูแลพิจารณาค่าไฟฟ้าของประเทศอย่างรอบคอบ มีความเหมาะสม เป็นธรรม และดูแลราคาพลังงานให้กระทบต่อค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนคนไทยให้น้อยที่สุด เนื่องจากปัจจุบันไฟฟ้าเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน”
อย่างไรก็ตาม ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บกับประชาชนงวดปัจจุบันเดือนพ.ค.-ส.ค. 2567 อยู่ที่ 4.18 บาท/หน่วย และกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย/เดือน อยู่ที่ 3.99 บาท/หน่วย
ในโอกาสนี้ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. ได้ประกาศวิสัยทัศน์การทำงานว่า ในยุคการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน (Energy Transition) เป็นผลมาจากความต้องการการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีทางด้านพลังงาน เพื่อรองรับความต้องการพลังงานสะอาดรับมือกับภาวะโลกร้อน ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้ภาคเศรษฐกิจและภาคพลังงานของไทยต้องการการปรับตัวขนานใหญ่ สำนักงาน กกพ. จึงมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการดูแลการเปลี่ยนผ่านให้มีความราบรื่น สมดุล เป็นธรรมให้มากที่สุด
“วันนี้ ในโลกกำลังคุยกันอยู่สองเรื่องหลักคือ Go Green และ Go Digital ภาคธุรกิจกำลังเปลี่ยนแปลงปฏิรูปแบบถอนรากถอนโคน เราต้องเตรียมความพร้อมในโอกาสสำคัญของจุดเปลี่ยนให้กับประเทศ ไม่ปล่อยผ่านโอกาสของภาคอุตสาหกรรมการลงทุนมีพลังงานสีเขียวรองรับความต้องการ ซึ่งพลังงานสีเขียวมีข้อดี แต่ก็มีบางส่วนที่สวนทางเป้าหมายของการบริหารจัดการภาคพลังงาน ที่ต้องการความมีเสถียรภาพ มีความมั่นคง ที่สำคัญคือ ต้องมีระดับราคาที่รับได้ด้วย กกพ. ต้องเข้ามาดูแลให้เกิดความราบรื่นในการเปลี่ยนผ่าน”
ทั้งนี้ เพื่อให้ กกพ. เป็นหน่วยงานแห่งความเชื่อมั่น และไว้วางใจของสังคมในการกำกับกิจการพลังงานภายใต้ยุทธศาสตร์ Trusted OERC 4 ด้าน ได้แก่
1. Trusted Regulation สร้างความเชื่อมั่นในการกำกับดูแลกิจการพลังงานด้วยการประสานความร่วมมือกับภาคนโยบาย ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วยการวางบทบาทสำนักงาน กกพ. เป็นองค์กำกับดูแลกิจการพลังงานภายใต้นโยบาย พร้อมกับจะมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้และยกระดับการกำกับดูแลตามภารกิจให้ครบถ้วนและเกิดความยั่งยืน
2. Trusted Research & Innovation ทบทวนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ ขยายเครือข่ายและแลกเปลี่ยนวิธีการและแนวทางการกำกับกิจการพลังงานกับองค์กรกำกับดูแลด้านพลังงานในต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการทำวิจัยร่วมกันกับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหล่อหลอมเป็นองค์ความรู้และภูมิปัญญาที่เหมาะสมต่อการกำกับกิจการพลังงานของไทย
3. Trusted Management มุ่งพัฒนาการบริหารองค์กรให้สามารถกำกับดูแลกิจการพลังงาน ด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ควบคู่กับการยกระดับพัฒนาขีดความสามารถบุคลากรให้ตอบสนองต่อการรองรับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยและสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งอนาคตที่มีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตอบโจทย์ในทุกภารกิจของสังคมทั้งในวันนี้และวันหน้า
4. Trusted Engagement สร้างการมีส่วนในการคุ้มครองผู้ใช้พลังงานและพัฒนาเครือข่ายพันธมิตรการคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานกองทุนพัฒนาไฟฟ้า และสร้างองค์ความรู้ความเข้าใจต่อพื้นที่ชุมชนอย่างยั่งยืน สื่อสารประชาสัมพันธ์การกำกับกิจการพลังงานอย่างต่อเนื่องผ่านสื่อมวลชนครอบคลุมทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค
ในส่วนของความท้าทายภาคพลังงานไทยในระยะต่อไปคือ การสร้างความสมดุล ความเป็นธรรม และความเท่าเทียมในการแข่งขัน ทั้งในภาคพลังงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมให้ประเทศ และผู้ประกอบการภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมภาคเอกชน ให้สามารถดำเนินการเปลี่ยนผ่านไปสู่ทิศทางพลังงานสะอาดอย่างมีผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งยังมีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อความมีเสถียรภาพและความมั่นคงทางด้านพลังงาน อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อต้นทุน ระดับราคาพลังงานของประเทศ
นอกจากนี้ ยังมองว่ากลไกและการแข่งขันในภาคพลังงานเป็นสิ่งที่สำคัญ และจะนำมาซึ่งการกระจายผลประโยชน์จากการแข่งขันไปสู่ประชาชนผู้ใช้พลังงานส่วนใหญ่ของประเทศอย่างเป็นธรรม สำนักงาน กกพ. จึงต้องดูแลความเหมาะสมในการบริหารจัดการสัดส่วนของการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนให้สอดคล้องตามนโยบาย รวมทั้งการเพิ่มการแข่งขันในภาคพลังงานตามช่วงเวลาที่เหมาะสมควบคู่กันไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิลในระบบยังคงมีความสำคัญอยู่ โดยเฉพาะเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติยังเป็นเชื้อเพลิงหลักที่มีความจำเป็นในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ อีกทั้งยังทำหน้าที่ในการรักษาความมีเสถียรภาพและความมั่นคงในระบบไฟฟ้า แต่การบริหารจัดการได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากสัดส่วนปริมาณของพลังงานหมุนเวียนที่จะเพิ่มมากขึ้น กกพ. จึงวางแนวทางในการกำกับดูแลภาคพลังงาน โดยคำนึงถึงทั้งคุณภาพไฟฟ้าที่ดีในระดับราคาที่ยอมรับได้ ควบคู่กับการสร้างการยอมรับในการกำกับกิจการพลังงานและทำให้ทุกภาคส่วนเดินหน้าไปด้วยกันได้อย่างยั่งยืน ทั้งภาคเศรษฐกิจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญสุดคือประชาชนผู้ใช้พลังงานส่วนใหญ่ของประเทศ เพื่อให้สำนักงาน กกพ. เป็นที่พึ่งให้กับประชาชนอย่างแท้จริง