นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยถึงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมิ.ย. 2567 ว่า เมื่อเทียบ กับเดือนเดียวกันของปีก่อน พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 24,796.6 หดตัว 0.3% การนำเข้ามีมูลค่า 24,578.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 0.3% ส่งผลให้เกินดุลการค้า 218 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนช่วง 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย.) ปี 2567 ส่งออกมีมูลค่า 145,290 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 2% การนำเข้ามีมูลค่า 150,532.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 3% ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 5,242.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สรท. ยังคงคาดการณ์การส่งออกปี 2567 เติบโตที่ 1-2% แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังในครึ่งปีหลังที่สำคัญหลายปัจจัย คือ 1.ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยืดเยื้อ และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ที่จะมีผลต่อการค้าและเศรษฐกิจโลกในภาพรวม โดยเฉพาะผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในเดือนพ.ย. นี้ 2.ปัญหาสหภาพแรงงานสหรัฐ ทั่วประเทศที่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลง อาจทำให้เกิดความขัดแย้งการหยุดการผลิตและกระทบต่อการนำเข้าสินค้าในภาคการผลิตกับประเทศอื่นๆ รวมถึงไทย
3.ต้นทุนค่าระวางเรือ ค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม (Surcharge) ยังคงทรงตัวในระดับสูง แต่เริ่มมีสัญญาณการปรับลดลงในหลายเส้นทาง จากการที่การส่งออกสินค้าของจีนไปยังสหรัฐ เริ่มเติบโตในอัตราเร่งลดลง จากมาตรการกำแพงภาษีที่มีผลใน 1 ส.ค. ที่ผ่านมา และปัจจัยเฝ้าระวังจากสถานการณ์ในพื้นที่ทะเลแดงยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญและมีอิทธิพลต่อเส้นทางขนส่งสินค้าเข้าไปตะวันออกกลางและยุโรป
4.ปัญหาสินค้าล้นตลาดจากประเทศจีนที่ระบายออกสู่ตลาดโลก ส่งผลให้สินค้าต้นทุนต่ำเข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย รวมถึงเข้าไปแย่งส่วนแบ่งการตลาดของสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ และ 5.การเข้าถึงสินเชื่อของภาคการผลิตมีปัญหาต่อเนื่อง ทำให้ขาดสภาพคล่องในการดำเนินการ
ทั้งนี้ สรท. ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือ เร่งปรับโครงการสร้างการส่งออกของไทย เพื่อรองรับการแข่งขันและการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว โดยมุ่งเน้นให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Trading Nation, ส่งเสริมกิจกรรมส่งเสริมการขายในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดใหม่ๆ, ต้องกำกับดูแลสินค้าการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ต้องเอื้อประโยชน์ให้กับซัพพลายเชนในประเทศ รวมถึงกำกับดูแลสินค้าต้นทุนต่ำที่ทะลักเข้ามาในประเทศก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศโดยเฉพาะ SMEs และปัญหาการจ้างงานลดลง, สนับสนุน ส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน ให้เพียงพอต่อการหมุนเวียนกระแสเงินสดและการผลิต
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ส่งออกจะต้องวางแผนการขนส่งด้วยการจองระวางเรือล่วงหน้า รวมถึงการเจรจากับคู่ค้าเพื่อปรับอัตราค่าขนส่งให้สอดคล้องกับค่าระวางในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกเส้นทาง รวมถึงต้องบริหารจัดการสต๊อกสินค้าให้เหมาะสม