นายยุทธนา ศิลป์สรรค์วิชช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท พาลาดิน เวิร์คแวร์ จำกัด ผู้ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป แบรนด์ “Blue Bear” และ “Graphenix” เปิดเผยว่า ปี 2568 อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม น่าจะได้เห็นการส่งออก ใกล้เคียงกับการนำเข้ามีปริมาณ เพราะแค่ 9 เดือน ไทยส่งออกเสื้อผ้ามีมูลค่า 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การนำเข้า มีมูลค่า 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12% ระหว่างการนำเข้าและส่งออกห่างกันเพียง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ เริ่มเห็นสัญญาณว่า อนาคตไทยจะกลายเป็นผู้ซื้อมากกว่าผู้ขาย และอุตสาหกรรมนี้ก็จะค่อยๆ หายไป โดยการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 9 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่า 160,000 ล้านบาท หากรวม 3 เดือนสุดท้าย คาดว่าทั้งปีไทยน่าจะส่งออกอุตสาหกรรมดังกล่าวที่ 210,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2% ซึ่งลดลงจากปี 2566 โดยกลุ่มการ์เมนต์ ส่งออกบวกเกือบ 9% ขณะที่กลุ่มสิ่งทอ ผ้าผืน กลับติดลบ 1%
คาดว่าปีหน้าไทยจะนำเข้ากลุ่มสิ่งทอมากกว่าการส่งออก โดยในช่วง 9 เดือนไทยนำเข้า บวก 11% ซึ่ง 49% เป็นสินค้าที่มาจากจีน รอลงมาเป็น เวียดนาม และอิตาลี 5-6% ซึ่งเป็นสินค้าคุณภาพ สาเหตุเป็นเพราะสินค้านำเข้าถูกกว่าผลิตเองในประเทศ ซึ่งเมื่อสินค้ามีราคาถูกกว่าผู้ประกอบไทยก็นำเข้าดีกว่าผลิตเองที่ต้นทุนที่สูง ทั้งค่าแรง ลงทุนเครื่องจักร เป็นต้น
ส่วน การย้ายฐานการผลิตของโรงงานไทยปัจจุบันไม่มีเพิ่มขึ้นจาก 21-22 โรงงาน ที่ย้ายฐานการผลิตไปแถบประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อ 20 ปีก่อน เหลือเพียงรายเล็กเท่านั้น ส่วนทุนต่างชาติที่สนใจเข้าใจเข้ามาลงทุนไทย คือ จีน เพราะโดนกีดกันจากประเทศอื่น โดยใช้ไทยเป็นฐานการผลิต ซึ่งทุนจีนที่มาลงทุนไทยมี 2 แบบ คือมาสร้างงาน สร้างฐานการผลิตเอาเงินมาลงทุน ทำให้ไทยมีการส่งออกเพิ่มขึ้น เกิดการจ้างงานในไทย และอีกรูปแบบ คือ การเข้ามาสวมสิทธิ ซึ่งก็ต้องช่วยกันตรวจสอบ
ปัจจุบัน จีนเข้ามาตีตลาด ส่งออกทั้งวัตถุดิบ เส้นด้วย เสื้อผ้า จำนวนมาก และจีนมีต้นทุนถูกมากหากเทียบกับสินค้าไทย จากนี้ไปไทยจะเป็นเทรดเดอร์และผู้ซื้อ ไม่ใช่ผู้ขาย ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการไทยเองย้ายฐานการผลิต ประมาณ 21-22 โรงงาน ส่วนใหญ่ไปเวียดนาม รองลงมาเป็นอินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว และมีย้ายฐานการผลิตไปที่ยุโรปตะวันออก แอฟริกาใต้ อียิปต์ เพราะเวลาส่งออกไปยุโรปไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า
นายยุทธนา กล่าวต่อว่า ล่าสุด บริษัทได้พัฒนานวัตกรรมผ้าจากเส้นใยกราฟิน หรือ ผ้ากราฟีน ถือว่าเป็นเจ้าแรกของไทย ที่ผลิตจากธาตุใหม่ของโลกสกัดจากแร่ธาตุกราไฟท์ ที่มีจุดเด่นหลายด้าน จนเรียกว่าเป็นวัสดุแห่งอนาคต ที่มาแทนสินค้าหลายๆตัวในโลก เพราะผ้ากราฟินช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดกระตุ้นให้ร่างกายมีออกซินเจนเพิ่มขึ้น สามารถตอบกระแสเทรนรักสุขภาพของผู้บริโภคในยุคนี้ได้
สำหรับ Graphenix เป็นการใส่นวัตกรรมเข้าไปในใยผ้า ถือเป็นจุดเล็กๆ ให้ตลาดสิ่งทอ และทำให้ตลาดเห็นว่า ไทยเองสามารถพัฒนานวัตกรรมระดับโลกได้ซึ่งอาจจะจุดประกายให้ผู้ประกอบการอื่นสนใจที่จะพัฒนาผลิตไทยให้แข่งขันกับประเทศอื่นๆ เพื่อสร้างความแตกต่าง“นวัตกรรม” ทางรอดอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย หลังถูก “จีน” ตีตลาด
สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยต้องทำ นอกจากการใส่นวัตกรรมลงไปในสินค้า การหาตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อยังคงมีความจำเป็น เช่น ตลาดยุโรปที่ยังคงมีกำลังซื้อ แต่พฤติกรรมของผู้ค้าและผู้บริโภคในฝั่งยุโรป คือ ซื้อจำนวนน้อย แบบหมุนเวียนเร็ว มองว่ายังสามารถเข้าตลาดได้ แต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องหาตลาดที่เหมาะกับไลน์การผลิต
สำหรับปัจจัยลบที่รุมเร้าต่างๆ ทั้ง เศรษฐกิจโลก ค่าแรง อัตราดอกเบี้ย ค่าเงิน ต้นทุนพลังงานต่างๆ ทั้งค่าไฟ น้ำมัน การแข่งขันกับประเทศอื่นๆมีผลกระทบกับไทย ผู้ประกอบการไทยต้องปรับแผนงานให้ทันกับเหตุการณ์