นางอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า จากผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,283 คนทั่วประเทศ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 36.3% เชื่อว่าบรรยากาศตรุษจีนปีนี้ จะคึกคักมากกว่าปีที่ผ่าน ส่วนกลุ่มตัวอย่าง 34.8% เชื่อว่าความคึกคักจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มตัวอย่าง 28.9% เชื่อว่าจะคึกคักน้อยกว่า
สำหรับเหตุผลที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เชื่อว่ามูลค่าการใช้จ่ายช่วงตรุษจีนปีนี้จะเพิ่มขึ้น เป็นเพราะราคาสินค้าแพงขึ้น, ภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น
สำหรับแหล่งที่มาของเงินที่จะนำไปใช้จับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ อันดับแรก มาจากเงินเดือน/รายได้ตามปกติ รองลงมา คือ เงินออม, เงินจากผู้ปกครอง-ญาติผู้ใหญ่, โบนัส-รายได้พิเศษ และเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ ตามลำดับ โดยกลุ่มตัวอย่างจะนำเงินแตะเอียที่ได้รับไปเก็บออมมากที่สุด รองลงมา คือ นำไปใช้จ่ายท่องเที่ยว และนำไปใช้หนี้สิน ตามลำดับ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ภาพรวมการใช้จ่ายตรุษจีนปีนี้มีความคึกคักมากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาในช่วงปลายปี ที่ผ่านมาได้สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคที่จะออกมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นแต่ผู้บริโภค ก็ยังระมัดระวังการ ใช้จ่าย
โดยคาดว่าเม็ดเงินสะพัดราว 51,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4.5% โดยเม็ดเงินดังกล่าว ถือว่าสูงสุดในรอบ 5 ปี และเป็นมูลค่าที่ขึ้นไปแตะระดับ 50,000 ล้านบาท เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 โดยผู้บริโภคยังมีความกังวลราคาสินค้าจำเป็นและค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวแพงขึ้น
ส่วนผลกระทบจากฝุ่นพีเอ็ม 2.5 โดยรวมประเมินว่ายังไม่กระทบต่อการท่องเที่ยวในไทย และขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวโดยมหาลัยหอการค้ายังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังโตได้ 3% ในปีนี้สำหรับกรณีนักท่องเที่ยวจีนถูกลักพาตัวประเมินว่าจะมีผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวจีนไม่เกิน 2 เดือน และในเดือนมี.ค. การท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเป็นปกติ
ทั้งนี้ หากนักท่องเที่ยวจีนหายไปในช่วงตรุษจีนคาดการณ์ผลกระทบในกรณีฐาน (Base Case) นักท่องเที่ยวจีนจะลดลง 0.4% คิดเป็น 34,027 คน มูลค่าความเสียหาย 1,650 ล้านบาท และ
ในกรณีแย่ที่สุด (Worst Case) อาจลดลงถึง 3.7% หรือประมาณ 294,649 คน มูลค่าความเสียหาย 14,290 ล้านบาท ผลกระทบต่อ GDP ในกรณีฐาน -0.01% กรณีแย่กว่า -0.04% และกรณีแย่ที่สุด -0.11% ของ GDP โดยแบ่งเป็นผลกระทบทางตรงจากการใช้ จ่ายที่ลดลง 56.2% และผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทาน 43.8% สาขาธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงในกรณีแย่ที่สุดคือ การค้าส่ง/ค้าปลีก (-5,533 ล้านบาท) บริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว (-2,632ล้านบาท) ร้านอาหาร/ที่พัก (-2,486 ล้านบาท) และการขนส่ง/สื่อสาร (-1,277 ล้านบาท)