นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (AOT) กล่าวถึงรายงานผลประกอบการงวด 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 ระหว่างเดือนต.ค. 2567 ถึงเดือนธ.ค. 2567 ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) AOT มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 781.27 ล้านบาท คิดเป็น 17.12% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ AOT มีรายได้รวม 17,906.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.41% ซึ่งรายได้จากการขายหรือการให้บริการเพิ่มขึ้น 1,956.27 ล้านบาท คิดเป็น 12.45% แบ่งเป็น รายได้เกี่ยวกับกิจการการบินมีจํานวน 8,804.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,727.76 ล้านบาท คิดเป็น 24.41% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารของ ทอท. โดยเฉพาะจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน 19.05% และ 21.52% ตามลำดับ และรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบินจํานวน 8,859.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 228.51 ล้านบาท คิดเป็น 2.65% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายรวม 10,353.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,086.70 ล้านบาท หรือ 11.73% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน

สำหรับปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT งวด 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (เดือนต.ค. 2567 ถึงเดือนธ.ค. 2567) มีผู้โดยสารมาใช้บริการรวม 33.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16.41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 20.85 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 12.77 ล้านคน

ในขณะที่มีจำนวนเที่ยวบินรวม 204,549 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 117,333 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 87,216 เที่ยวบิน

นายกีรติ ได้กล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้ปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นว่า เป็นผลจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว นโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ และวันหยุดยาว (Golden Week) ของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากทั้งตลาดระยะไกล (Long Haul) และตลาดระยะใกล้ (Short Haul) อีกทั้ง AOT ยังสนับสนุนนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐผ่านโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการส่งเสริมเส้นทางการบินใหม่โดยลดค่าธรรมเนียมสำหรับสายการบินที่เปิดเส้นทางใหม่ โครงการลดค่าเช่าสำหรับสายการบินที่ย้ายไปใช้อาคาร SAT-1 และโครงการสนับสนุนการตลาดสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ท่าอากาศยานหาดใหญ่และเชียงราย โดยการให้เงินสนับสนุน 300 บาทต่อผู้โดยสารหนึ่งคนสำหรับเที่ยวบินที่เข้าเงื่อนไข เป็นต้น

นายกีรติ กล่าวอีกว่า ในปี 2568 ทอท. มีแผนการลงทุน 2 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออกของอาคารผู้โดยสาร (East Expansion) โดยมีการปรับวงเงินจากมูลค่า 9,000 ล้านบาท เป็น 12,000 ล้านบาท เนื่องจากขอบเขตพื้นที่เพิ่มขึ้น และงานระบบที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการปรับวงเงินเป็น 12,000 ล้านบาท ยังอยู่ในกรอบงบที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนด เป็นเพียงการปรับกรอบการใช้เงินเท่านั้น

โดยขณะนี้ตัวรูปแบบโครงการต่างๆ และรูปแบบวงเงินได้ส่งให้ทางคณะกรรมการ ทอท. พิจารณาเรียบร้อยแล้ว และเตรียมนำกลับไปที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อรับทราบแผนการใช้วงเงินที่จะดำเนินการ โดยคาดว่าเดือน พ.ค. 2568 จะเริ่มการประมูลได้

และ 2.โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 วงเงินลงทุน 36,829.499 ล้าน ระยะที่ 3 คาดว่าช่วงเดือนธ.ค. จะสามารถเริ่มเปิดประมูลได้

อย่างไรก็ตาม AOT ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาท่าอากาศยานให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก โดยมีการยกระดับมาตรฐานการให้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ให้มีความสะดวกสบาย รวดเร็ว และปลอดภัย พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวและการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 (SAT-1) ที่สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจาก 45 ล้านคน เป็น 65 ล้านคนต่อปี การสร้างระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติและทางวิ่งเส้นที่ 3 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 ที่สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจาก 30 ล้านคน เป็น 50 ล้านคนต่อปี รวมถึงโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และท่าอากาศยานหาดใหญ่

“AOT ตั้งเป้าที่จะเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคและเชื่อมโยงการเดินทางทางอากาศแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตามเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการยกระดับท่าอากาศยานของไทยให้เป็น 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี และเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดเป็น 1 ใน 10 ของโลก และสามารถแข่งขันในระดับสากลได้อย่างยั่งยืน”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน