โมชิ รุกหนัก 40 สาขาใหม่ มากสุดเป็นประวัติการณ์ สู้ศึกน้องใหม่ค้าปลีก รับเผชิญแรงกดดันกำลังซื้อ

นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจค้าปลีกในปี2568 มีแนวโน้มเติบโตจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ และแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล รวมถึงยังมีปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะกลับมาใกล้เคียงระดับก่อนโควิด-19 โดยอยู่ที่ประมาณ 39 ล้านคน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายของห้างสรรพสินค้าในเมืองท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะเดียวกันธุรกิจค้าปลีกอาจต้องเผชิญความท้าทายจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งกดดันกำลังซื้อของผู้บริโภค ต้นทุนดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการแข่งขันที่สูงขึ้น เนื่องจากมีผู้ประกอบการจำนวนมากที่ต้องการเข้าสู่ตลาดเพิ่มสูงขึ้นจากทั้งผู้เล่นรายเดิมและการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ เนื่องจากตลาดค้าปลีกมีศักยภาพการเติบโตที่ดี และมีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด อีกทั้งสินค้า 90% ของสินค้าของโมชิเป็นการออกแบบและพัฒนาของบริษัทเองทั้งหมด ไม่ได้ซื้อมาขายไปทำให้เป็นจุดแข็งของโมชิ

สำหรับแผนธุรกิจปีนี้ ตั้งเป้าเติบโตของรายได้ 20% จากปี 2567 ที่มีรายได้ 3,127.91 ล้านบาทโดยผ่านแผนลงทุน 280 ล้านบาท ทั้งจากการขยายการเปิดสาขาใหม่ 40 แห่ง มากที่สุดที่เคยทำมา โดยสัดส่วนการเปิดในพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑล 35% และอีก 65% เป็นต่างจังหวัดพร้อมกับมีการปรับปรุงสาขาเดิม 50 แห่ง เพื่อผลักดันการเติบโตของยอดขายในสาขาเดิม 3-5% รวมถึงมีแผนขยายคลังสินค้าจากพื้นที่เดิมอีก 3,000 ตร.. เพื่อรองรับการขยายสาขา

เราเปิดมาพร้อมคู่แข่ง 7-8 ราย เป็นเชนสโตร์จากต่างประเทศ แต่โมชิก็สามารถครองอับดับหนึ่งใน 3 ปี แต่หลังจากโควิดทำให้เชนสโตร์ลดลงเหลือ 2-3 ราย และมีเชนสโตร์ใหม่จากต่างประเทศเข้ามา แต่อย่างไรก็ดีบริษัทมีประสบการณ์ด้านนี้มา 40 ปี ทำให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า อีกทั้งเนื่องจากเป็นการทำตลาดเกี่ยวกับสินค้าแฟชั่น ทำให้ต้องมีการปรับตัวเร็วโดยออกสินค้าใหม่ 1,000 รายการในทุกเดือน จากที่ปัจจุบันมีสินค้าที่วางจำหน่ายมากกว่า 22,000 รายการ ใน 13 หมวดสินค้า ซึ่ง 15% เป็นสัดส่วนสินค้าลิขสิทธิ์ ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนยอดขาย รวมถึงเป็นตัวดึงทราฟฟิกลูกค้าเข้าร้าน

สำหรับหมวดสินค้าที่มียอดขายสูงสุด เป็นของใช้ในครัวเรือน ขณะที่กลุ่มลูกค้าหลักเป็นนักเรียน นักศึกษา อายุ 15-18 ปี และกลุ่มวัยทำงานตอนต้น 18-25 ปี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน