ศุภวุฒิ ชี้ สหรัฐขึ้นภาษี ไทยแน่ หวั่นฉุดศก.ไทยยาวถึงปีหน้า แนะใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนจีดีพี

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ “NEXT MOVE Thailand” ในงานสัมมนา “Prachachat Forum: NEXT MOVE Thailand 2025” จัดโดยประชาชาติธุรกิจวันนี้(26มี.ค.)ว่า เชื่อว่าทุกคนรู้กันดีว่าประเทศไทยเผชิญโจทย์ที่มีความท้าทายอยู่อย่างต่อเนื่องก่อนหน้า Trump 2.0 คือ เศรษฐกิจเติบโตช้า สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ภาคเกษตรที่ผลผลิตต่ำ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การขาดแคลนแรงงานและพลังงาน ตลอดจนความจำเป็นที่ต้องลงทุนเพื่อวัดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน

และโจทย์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 2 เมษายน 2568 หรือในอีก 7 วันข้างหน้า กรณีรัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” จะประกาศเก็บภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) จากประเทศต่าง ๆ ซึ่งประเทศไทยอยู่ในบ่วงนี้

แต่ต้องยอมรับว่าขณะนี้มีความไม่แน่นอนสูงมาก เพราะการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 เฟดยังปรับลดการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐลงในปี 2568 จากเดิม 2.1% เป็น1.7% ขณะที่มีการปรับระดับเงินเฟ้อสหรัฐสูงขึ้น จาก 2.5% เป็น 2.7% และในปี 2569 ยังได้ปรับลด GDP สหรัฐโตน้อยลง จาก 2.1% เหลือโต 1.8% และปรับระดับเงินเฟ้อสหรัฐเป็น 2.2%

“ ประเทศที่ใหญ่สุดในโลก GDP โตดีสุดในโลก ยังต้องปรับลด GDPดังนั้นจะกระทบมาถึงไทยแน่นอน แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะกระทบกับผู้บริโภคและนักลงทุนมากเพียงไหน ต้องตามดูต่อไปมาตรการภาษีที่จะประกาศในวันที่ 2 เมษายน 2568 คาดว่า จะกดดันให้มูลค่าการค้าโลกลดลงไม่ถึง 60% สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือผลกระทบที่ไทยต้องเผชิญ ดีไม่ดีจะมีผลกระทบทั้งปีนี้และปีหน้า ดังนั้นไทยต้องพยายาม NEXT MOVE คือการจัดการปัญหาตรงนี้ให้ได้ดีมากที่สุด”

นายศุภวุฒิกล่าวว่ามีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเคาะในเชิงที่จะเก็บภาษีไทยเพิ่มขึ้น ระดับหนึ่งสำหรับทุกสินค้า มากกว่าให้ไทยลดภาษีลงไปเท่ากับสหรัฐ เพราะสหรัฐต้องการเงินมากกว่าเพราะช่วยลดการขาดดุลงบประมาณได้ และอาจเปิดให้ และให้ไทยเข้ามาเจรจาต่อรอง

ประเทศไทยยังมีโจทย์เดิมที่ยังไม่ได้แก้ไขคือเศรษฐกิจขยายตัวช้าลงไปเรื่อย ๆ ปัญหาสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งตอนนี้คนไทยอายุ 60 ปีขึ้นไปมีอยู่ 12.5 ล้านคน และมีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีงานทำ และในกลุ่มนี้ 45% ไม่มีเงินออมเลย ที่เหลือ 55% มีเงินออมเฉลี่ยไม่ถึง 1 แสนบาท คนกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 18 ล้านคน ในอีก 15 ปีข้างหน้า

งานวิจัยระบุว่าการจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว พบว่ามาจากการขยายตัวของภาคแรงงาน 15-30% จากการลงทุน 20-35% ส่วนที่เหลืออีก 40-60% คือเรื่องเทคโนโลยี ดังนั้นประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาคุณภาพของคนและเทคโนโลยี

นายศุภวุฒิกล่าวว่าการขับเคลื่อนประเทศไทย นอกจากการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์แล้ว ต้องลงทุนเทคโนโลยีทางการเกษตรด้วย เพราะผลผลิต 8.6% ของ GDP ใช้แรงงาน 30% ของ GDP ใช้ที่ดิน 45% ของที่ดินทั้งหมด และใช้น้ำเกือบ 70% ของทรัพยากรน้ำทั้งหมด แต่ได้ผลผลิตแค่ 8.6% เท่านั้น

โดยปัจจุบันในด้านการแข่งขันการเกษตรเราเป็นที่ 5 ส่งออกสินค้าเกษตรไปจีน เรามีศักยภาพในเชิงเปรียบเทียบในด้านอาหารและสินค้าเกษตร ดังนั้นต้องเร่งต่อยอด เพราะถ้าไปแข่งภาคอุตสาหกรรมคงยาก แต่นอกจากภาคเกษตรแล้วเรายังสามารถแข่งขันด้านภาคการท่องเที่ยวและสุขภาพได้ (Medical Tourism) จึงต้องมุ่งทำอย่างต่อเนื่อง

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน