พิพัฒน์ เปิด 4 ปัจจัยเสี่ยงฉุด ศก.โลก แนะไทยเพิ่มลงทุนสร้าง Productivity -การศึกษา
นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยในงานสัมมนา “Prachachat Forum: NEXT MOVE Thailand 2025ตามหาโอกาส โลกป่วน เกมเปลี่ยน” จัดโดยประชาชาติธุรกิจวันนี้(26มี.ค.)ว่าสภาพเศรษฐกิจโลกที่เกิดความวุ่นวายในปัจจุบันมีอยู่ 4 เรื่องใหญ่ๆ 1. โลกาภิวัตน์ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา โลกเอนจอยกับสิ่งที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์ตลอดเวลา จะเห็นได้ว่าการค้าโลกต่อจีดีพี ในรอบหลาย 10 ปีที่ผ่านมา การค้าโลกเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ประเทศที่พัฒนาแล้วได้ประโยชน์จากประเทศที่กำลังพัฒนาเพื่อผลิตของในราคาที่ถูกลง โดยตลอดเวลาจะเห็นได้ว่า ประโยชน์จาก globalization การลดข้อจำกัดการค้ามันเพิ่มประสิทธิภาพของโลกขึ้นมาจริง ซึ่งจะเจออย่างจีน หรือแม้กระทั่งไทยก็เอนจอยกับสิ่งนี้ เพราะมีการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น
แต่ช่วงหลังเริ่มมีความกังวลกับ globalization เนื่องจากสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังการค้าเสรี จะมีผู้ชนะและผู้แพ้เกิดขึ้นเสมอ และกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางกับคนที่มีรายได้น้อย กับคนที่รวยแล้ว ประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศ จีน ไทย เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมา แต่คนที่เสียประโยชน์คือคนชั้นกลางหรือคนรายได้น้อยของประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งความไม่พอใจในกระแส โลกาภิวัตน์ดังมากขึ้นเรื่อยๆ โดยโดนัล ทรัมป์ ก็อาจเป็นหนึ่งในการที่อาจไม่พอใจ
“ดังนั้นช่วงหลัง globalization อาจจะผ่านจุดที่พีคไปแล้ว คนที่เสียเปรียบจากโลกาภิวัตน์ กำลังส่งเสียงบ่นที่ดังขึ้น”
ประเด็นที่ 2. Geopolitics ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเห็นผู้ชนะอย่างชัดเจน โดยฝั่งตะวันตกนำโดยสหรัฐเป็นคนวางระเบียบโลก และในช่วงหลังจากการพัฒนาเศรษฐกิจรวมไปถึงผลจากโลกาภิวัตน์ทำให้มีผู้ท้าชิงเพิ่มมากขึ้น อย่าง จีน รัสเซีย Emerging Market อื่นๆ เริ่มมีข้อต่อกลอนกับสหรัฐเพิ่มมากขึ้น กลายเป็นสิ่งที่หลายคนตั้งคำถามว่าพอผู้แข็งแกร่งไม่ได้มีคนเดียวจุดสรภูมิที่สำคัญจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ประเด็นที่ 3. นโยบายทรัมป์ 2.0 ไม่ได้ทำซ้ำรอยกับทรัมป์ 1.0 แต่มาด้วยการเตรียมพร้อมที่มากขึ้น เริ่มเห็นว่าทรัมป์เริ่มมีแพลนในการทำสิ่งต่างๆที่มากขึ้น และกล้าทำหลายนโยบายทั้งในปีนี้และปีหน้า ซึ่งเป็นความไม่แน่นอนที่กำลังทำให้โลกตกใจ กล้าทำหลายนโยบายซึ่งอาจไม่เป็นประโยชน์กับสหรัฐด้วยและ 4.พัฒนาการของเทคโนโลยีที่มีเพิ่มมากขึ้น
“สิ่งที่รู้สึกว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปจากสิ่งที่ทรัมป์กำลังทำมี 2-3 เรื่อง 1. สหรัฐกำลังบอกทุกคนว่าเขาไม่อยากรับภาระในการเป็นผู้จัดหาสินค้าสาธารณะอันดับโลกแล้ว แต่เพื่อนเขาจะหายไปขนาดไหน ขึ้นอยู่กับจุดสุดท้าย แต่มองว่าสหรับกำลังถูกโดดเดี่ยว แต่เขาก็ทำทุกวิธีทางของการต่อสู้ให้แฟร์สำหรับเขา“
ทั้งนี้ในฝั่งของประเทศไทยก็กำลังเจอความท้าทายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยผลกระทบจากข้างนอก ทั้งการเปลี่ยนของระเบียบโลกแรงกดดันที่เรากำลังเจอ จึงมองว่าไทยเราจะทำแบบเดิมไม่ได้ เรากำลังเจอการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการในไทยกำลังมีปัญหา สิ่งที่เราทำมาใน 30 ปีที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้ผลแบบเดิมแล้ว
ประกอบกับแรงกดดันในประเทศ จะเห็นว่าเทรนด์การเติบโตของจีดีพีเริ่มโตช้าลง โอกาสที่ทำให้ไทยกลับไปโต 3-5% ยากมากถึงแม้ว่าพยายามอยากให้เป็นแบบนั้นก็ตาม ซึ่งแรงกดดันที่หนักสุดคือโครงสร้างประชากร โดยการเติบโตในระยะยาวแรงกดดันจากจำนวนประชากรจะเป็นแรงกดดันที่หนักที่สุด ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือต้องเพิ่มการลงทุน และต้องเพิ่ม Productivity หรือ ผลิตภาพ อย่างภาคการเกษตร ภาคบริการ
ซึ่งโจทย์สำคัญที่ทุกคนต้องทำคือด้วยทรัพยากรเท่าเดิมเราจะผลิตของให้เพิ่มมากขึ้นได้อย่างไร ซึ่งจะทำไม่ได้เลยถ้าเราไม่มีการลงทุนเพิ่ม เราต้องมีการลงทุนเพิ่มทั้งในประเทศ และดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา รัฐบาลก็ต้องเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไม่ใช่กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพราะมันไม่ใช่ปัญหาดีมานด์แล้ว มันเป็นปัญหาซัพพลาย
“สุดท้ายการลงทุนเรื่องทุนมนุษย์หรือการศึกษา อยากให้ช่วยหาวิธีการแก้ไข เพราะโจทย์สำคัญเลยคือ การลงทุน สร้าง Productivity และการศึกษา”