นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวถึงสถานการณ์การออมของประเทศในขณะนี้ว่า มีอัตราการเติบโตที่ลดลง ล่าสุดอยู่ที่ 11% ต่อจีดีพี ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2552-2553 ที่ 16% ต่อจีดีพี เป็นผลมาจากรายได้ของประชาชนลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง แต่ในภาพรวมแล้วถือว่าไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากสถานการณ์การออมยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าการลงทุนของประเทศ ปัจจุบันการออมของประเทศ คิดเป็น 33% ต่อจีดีพีต่อไตรมาส ขณะที่การลงทุนคิดเป็น 25% ต่อจีดีพีต่อไตรมาสเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวสะท้อนได้ชัดเจนว่าปัจจุบันประเทศไทยยังมีสภาพคล่องในระบบค่อนข้างสูง

ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวอีกว่า ธนาคารปรับลดเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ลงเหลือ 2% จากเดิมที่ 3% ตามภาวะเศรษฐกิจ แต่ยังเชื่อว่าทั้งปีจะสามารถเติบโตได้เกินเป้าหมายใหม่อย่างแน่นอน ขณะที่สถานการณ์เงินฝากในช่วงสิ้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท ลดลง 3-4 หมื่นล้านบาท จากช่วงที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการระดมเงินฝากในปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายระดมเงินฝากเพิ่มขึ้น 1.5-2% เนื่องจากธนาคารออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เตรียมออกสลากออมสินพิเศษ 5 ปี ที่คาดว่าภายในสิ้นปีจะสามารถระดมเงินได้ถึง 5 หมื่นล้านบาท

นายชาติชายกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ดีในส่วนของภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คาดว่าภายในสิ้นปีจะอยู่ที่ 2-2.2% จากปัจจุบันทรงตัวอยู่ที่ 2.4% โดยในช่วง 2-3 เดือนที่เหลือจากนี้จะมีการระดมพนักงานเข้าไปให้ความช่วยเหลือและดูแลกลุ่มลูกหนี้ โดยการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ภาพรวมหนี้เสียของธนาคารปรับลดลงตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน