นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2567 โดยภาพรวมแล้วเชื่อว่าบรรยากาศการลงทุนน่าจะดีขึ้น โดยดูจากเครื่องจักรทางเศรษฐกิจไทย 2 ตัวแรกสำคัญ คืองบประมาณภาครัฐ ที่จะทยอยออกมาตั้งแต่เดือนพ.ค.เป็นต้นไป กับการท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งปัจจุบันยังกลับมาได้เพียง 40% ของช่วงก่อนโควิด ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ กลับมาได้ 80% ดังนั้นแล้วต้องรอดูว่าต้นปีนักท่องเที่ยวจะทยอยกลับมาหรือไม่ ส่วนปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ ถ้ายังอยู่ในระดับต่ำ จะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานของบจ.ไม่ได้สูงขึนอยางมีนัยสำคัญมากนัก

ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ นโยบายดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด หากเริ่มลดดอกเบี้ย จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น ขณะเดียวกันปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงอยู่คือปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์จะขยายวงหรือไม่ ทั้งรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอลกับฮามาส เพราะจะมีผลต่อราคาน้ำมันให้กลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกหากสงครามประทุ

สำหรับภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพ.ย. 2566 SET Index ปิดที่ 1,380.18 จุด ปรับลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า โดยปรับลดลง 17.3% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 45,804 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 28.9% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 11 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 54,399 ล้านบาท ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 10 โดยในเดือนพ.ย. 2566 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 21,132 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน และกลุ่มเกษตรและอาหาร และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้กล่าวเสริมถึงปริมาณการซื้อขายหุ้นไทยที่เบาบางลง ว่า เมื่อไปดูภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกในปี 2566 จะเห็นได้ว่าเป็นปีที่สภาพคล่องในตลาดหรือปริมาณการซื้อขายหุ้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 15-30% เหมือนกันทั่วโลก แต่ในส่วนของตลาดหุ้นไทยอาจกระทบมากกว่า เพราะดัชนีหุ้นปรับลดลงมาค่อนข้างมากกว่าประเทศอื่น

แต่อย่างไรก็ดี ต้องจับตาว่ากองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) หรือ Thai ESG ที่มีนโยบายลงทุนในทรัพย์สินด้านความยั่งยืน หรือ สิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ลงทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้นั้น จะเข้ามาช่วยให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักได้หรือไม่ โดยเฉพาะล่าสุด DJSI ซึ่งเป็นดัชนีที่ให้ความสำคัญกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ได้ปรับเพิ่มจำนวนหุ้นไทยที่เข้าไปอยู่ใน DJSI เพิ่มจาก 26 บริษัท เป็น 28 บริษัท ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกให้กับตลาดหุ้นไทย

นายภากร ยังกล่าวถึงดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมากนั้น มาจากหลายปัจจัยทั้งความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงไทย ในส่วนของความเชื่อมั่นนักลงทุนที่ได้รับผลกระทบมาจากหลายปัญหาที่เกิดขึ้นกับตลาดทุนมาตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565 ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการปรับกระบวนการทำงาน และกฎระเบียบต่างๆ ควบคู่ไปกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนในระยะหลังที่มีการพูดถึงหลายปัญหา โดยเฉพาะเรื่อง Naked Short Selling และโปรแกรมเทรด ระบบ High-frequency trading (HFT) ที่เข้ามาเอาเปรียบผู้ลงทุนในตลาด โดยที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการตรวจสอบในระดับมาตรฐานโลก ซึ่งมีการตรวจสอบเชิงลึกในระดับทุกการซื้อขาย โดยเฉพาะที่ผ่านมานักลงทุนได้ส่งมาให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตรวจสอบอยู่ 2-3 กรณี และพบว่าไม่ได้มีการทำ Naked Short Sell หรือ HFT

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติ กว่า 80% เป็นการซื้อขายผ่านโปรแกรเทรดดิ้ง ในขณะเดียวกันพบว่ามีการใช้ HFT เพื่อเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดหุ้นไทยประาณ 8-12% ดังนั้นจึงไม่ได้มีผลทำให้การซื้อขายหุ้นไทยผิดไปจากปกติ แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างว่าจ้างที่ปรึกษาต่างประเทศที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบว่าเทคโนโลยีต่างๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นมีเพียงพอแล้วหรือไม่ รวมถึงจะมีการเชิญตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ เข้ามาเป็นผู้ให้ความเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยทำอยู่นั้นมีความแตกต่าง หรือมีส่วนใดต้องปรับปรุง แต่ทั้งนี้ยืนยันว่าเทคโนโลยีต่างๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีอยู่นั้นไม่ได้แตกต่าง แต่ต้องการสร้างความมั่นใจ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน