นายพิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยดัชนีดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือนพ.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 0.33% เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย. จาก 70.46 จุด มาอยู่ที่ 70.70 จุด สาเหตุมาจากความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย, สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง, แรงซื้อทองคำจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ และแรงซื้อเก็งกำไรตามลำดับ
คาดการณ์ความต้องการซื้อทองคำในช่วงเดือนพ.ค. จากกลุ่มตัวอย่าง 365 ราย โดย 169 ราย หรือคิดเป็น 46% คาดว่าจะซื้อทองคำ ขณะที่ 105 ราย หรือ 29% คาดว่าจะไม่ซื้อทองคำ และอีก 91 ราย หรือ 25% ไม่แน่ใจว่าจะซื้อทองคำในเดือนนี้หรือไม่
ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่ และผู้ประกอบกิจการนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำ จำนวน 13 ราย ในจำนวนนี้มี 6 ราย หรือคิดเป็น 46% เชื่อว่าราคาทองคำในเดือนพ.ค.นี้ จะเพิ่มขึ้น ส่วนจำนวน 4 ราย หรือ 31% คาดว่าจะลดลง และจำนวน 3 ราย หรือ 23% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงเดือนเม.ย.
สำหรับคาดการณ์กรอบราคาทองคำในเดือนพ.ค. ของผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่ โดย ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 2,244-2,384 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ด้านราคาทองคำแท่งในประเทศ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณบาทละ 39,100-41,300 บาท และด้านค่าเงินบาทให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 36.26-37.28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ให้ความเห็นว่าราคาทองคำในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่ระดับ 2,431 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้แนวโน้มราคาทองคำระยะยาวยังคงเป็นเชิงบวก และทำให้บรรยากาศของการซื้อขายมีความผันผวนเพิ่มขึ้น ปัจจัยหลักมาจากการที่ตลาดคาดการณ์นโยบายการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำอาจมีแรงขายทำกำไรสลับออกมากดดันบ้าง หรือแกว่งตัวสร้างฐานราคา ดังนั้น นักลงทุนจึงควรติดตามอย่างใกล้ชิด