“ธนาธร- ปิยบุตร” หอบหลักฐานเป็นลัง 26 รายการแจง กกต.ปมโอนหุ้น ยันไม่มีใครมีหลักฐานมาหักล้างได้ จี้จัดการเลือกตั้งเขต 1 นครปฐม-ลั่นควรแสดงความรับผิดชอบ ไม่กังวลปม 11 ผู้สมัคร ส.ส.อนาคตใหม่ถูกร้องสอบถือหุ้นสื่อ

เมื่อวันที่ 30 เม.ย. สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เข้าพบ กกต. เพื่อชี้แจงกรณีการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด หลังจาก กกต. มีมติแจ้งข้อกล่าวหา และเปิดโอกาสให้ชี้แจงภายใน 7 วัน โดยมีมวลชนจำนวนหนึ่งเดินทางมาให้กำลังใจด้วย

นายธนาธร กล่าวว่า ได้นำหลักฐานจำนวน 26 รายการเพื่อมาชี้แจงและแสดงต่อ กกต. พร้อมกับหลักฐานส่วนอื่น ๆ แต่ขอเก็บไว้ชี้แจงกับ กกต. ก่อน ส่วนหลักฐานที่เป็นใบสั่ง และการขับรถเร็วนั้นได้แสดงไปแล้ว

เมื่อถามว่า นอกจากใบสั่งแล้วมีหลักฐานอะไรแสดงว่าอยู่บนรถคันนั้น นายธนาธร กล่าวว่า ในวันเดินทางออกจาก จ.บุรีรัมย์ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายรายไปคอยอำนวยความสะดวกให้คณะในวันดังกล่าว มีการเก็บภาพไว้ และเชื่อว่าเป็นหลักฐานให้กับเราได้

“สบายใจมาก และมั่นใจในการชี้แจงมาก ขอบคุณสื่อมวลชนที่มารอต้อนรับเรา มาคอยทำข่าวพวกเรา ขอบคุณประชาชนที่คอยสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ยืนยันว่า ผมและนายปิยบุตรมีความมั่นใจมากในการชี้แจงกับ กกต. ครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่า กระแสที่ถูกปลุกขึ้นมา ถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีข้อเท็จจริงที่จะมาหักล้างหลักฐานที่เราได้ยืนยันต่อสาธารณะไปก่อนหน้านี้” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวอีกว่า มาชี้แจงครั้งนี้ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก เดินเข้ามาไปชี้แจงด้วยความมั่นคง ยืนหยัดกับข้อเท็จจริง และเชื่อมั่นว่าในวันที่ 9 พ.ค. 62 จะได้รับประกาศรับรองเป็น ส.ส. ไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ไม่เชื่อมั่น เพราะคนที่ตั้งคำถามกับตน ไม่เคยมีใครเอาหลักฐานใดๆ ที่พิสูจน์เป็นอื่น นอกจากที่เราได้แถลงไปแล้วได้เลย

ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงต้องบอกว่าเป็นความพยายามที่จะหยิบเอาประเด็นเล็ก ประเด็นน้อยมาตั้งข้อสงสัย และพูดซ้ำไปซ้ำมา ทำให้คนในสังคมเข้าใจผิดกันไปหมด แต่ถ้าสู้กันด้วยข้อเท็จจริงแล้ว ไม่มีใครมีหลักฐานมาหักล้างเราได้เลย

ด้าน นายปิยบุตร กล่าวว่า มีพยานเอกสารหลักฐานทั้งหมด 26 รายการ ขนมาเป็นลัง และเดี๋ยวจะแสดงให้ กกต. ดู เมื่อชี้แจง กกต. เรียบร้อยแล้วจะมาชี้แจงให้สื่อมวลชนทราบ

เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องหุ้นที่ทำความชี้แจงมีการเขย่งไปมา ยังไม่มีความชัดเจน นายปิยบุตร กล่าวว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือเรื่องผลทางกฎหมายของการโอนหุ้น ซึ่งเรื่องนี้พยานหลักฐาน ข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง แนวคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งหมด สนับสนุนยืนยันชัดเจนว่า นายธนาธร ไม่ได้ถือหุ้นสื่อแล้วในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง

แต่ข้อเท็จจริงหลังจากนั้นจำเป็นต้องชี้แจงเพิ่มเติมทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเรื่องของการพิจารณาเลย เนื่องจากมีสำนักข่าวรายหนึ่งตามถามไม่จบไม่สิ้น และเขียนข่าวไปในลักษณะชี้ชวนให้คนเข้าใจผิด เราเลยต้องชี้แจงเพิ่มเติมเท่านั้นเอง แต่หลักใหญ่ใจความอยู่ที่ว่าการโอนหุ้นสำเร็จตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2562

เมื่อถามว่าฝ่ายตรงข้ามมองว่าทำไมต้องรีบขับรถมาโอนหุ้น ทั้งที่ยังไม่มีการประกาศ พ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งฯ นายปิยบุตร กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือทราบอยู่ก่อนแล้วว่า คุณสมบัติในการเป็นผู้สมัครห้ามถือครองหุ้น เมื่อทราบจึงรีบแจ้ง และรีบจัดการทันที ด้วยเหตุผลว่า เราไม่ทราบว่าจะมี พ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้ง เกิดขึ้นเมื่อใด กำหนดการถูกเลื่อนไปเรื่อย เมื่อตรวจสอบพบ จึงต้องรีบจัดการ ให้เร็วที่สุด และวันดังกล่าวมีหลายนัด โดยทีมงาน และนายธนาธรว่างวันนั้น

ส่วน นายธนาธร กล่าวเสริมว่า อยากถามกลับว่าทำไมเป็นวันที่ 8 ม.ค. 62 ไม่ได้ล่ะ คุณนึกออกไหมแค่วันที่ ก็มีการตั้งคำถามกันไร้สาระแล้ว ต้องบอกว่าทำไมเป็นวันที่ 8 ม.ค.ไม่ได้ มีเหตุผลอะไรที่เป็นวันนี้ไม่ได้ ขณะที่นายปิยบุตร กล่าวย้ำว่า ถ้าเป็นวันที่ 9 ม.ค.จะถูกตั้งคำถามอีกว่าทำไมเป็นวันที่ 9 ม.ค.หรือเป็นวันที่ 10 ม.ค.ก็ถามอีก ทำไมเป็นวันที่ 10 ม.ค.

เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคออกแถลงการณ์เหมือนไม่ยอมรับว่าแพ้ในการเลือกตั้งเขต 1 จ.นครปฐม นั้น นายปิยบุตร กล่าวว่า กรณีนี้พรรคไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ ทุกอย่างว่ากันไป แต่ต้องการสื่อสารมายัง กกต. มีปัญหาการนับคะแนนบกพร่องอย่างไร เชื่อว่าไม่ใช่เขตเลือกตั้งนี้เพียงเขตเดียว ถึงได้เรียกร้องว่า กรณีของเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.นครปฐม มีผลการนับคะแนนกลับไปมาถึง 5 ครั้ง ดังนั้นต่อให้วินิจฉัยออกมา ตรวจบัตรออกมาว่าพรรคประชาธิปัตย์ชนะ พรรคอนาคตใหม่ก็ต้องท้วงติง หรือถ้านับออกมาแล้ว พรรคอนาคตใหม่ชนะ พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องท้วงติงเช่นเดียวกัน ดังนั้นการนับคะแนนผลกลับไปกลับมา 5 ครั้ง ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้สมัครทุกพรรคได้เลย

“วิธีการที่ดีที่สุดคือการจัดการเลือกตั้งใหม่ และเรายังสงสัยในอีกหลาย ๆ เขตด้วย จึงเรียกร้องให้ กกต. ในทุกจังหวัดเปิดคะแนนดิบรายหน่วยออกมา เพื่อที่จะได้ตรวจสอบกัน ถ้า กกต. บริสุทธิ์โปร่งใสจริง ให้เปิดออกมาเถิด ไม่มีอะไรมาทำท่านได้” นายปิยบุตร กล่าว

นายธนาธร กล่าวเสริมว่า ประเด็นที่สำคัญกว่านั้นก็คือ การที่ผลการนับคะแนนแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน กกต. ไม่เคยต้องรับผิดชอบประเด็นนี้ เป็นประเด็นใหญ่ในสังคม ทำไมการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. 2562 กับการนับคะแนนใหม่วันที่ 28 เม.ย. 2562 คะแนนถึงต่างกัน กกต. ไม่เคยต้องชี้แจง และไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบเรื่องนี้ จึงคิดว่าควรต้องตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“อย่างที่บอกแล้วว่าพรรคอนาคตใหม่ไม่ต้องการตั้งตัวเป็นคู่ขัดแย้งกับพรรคประชาธิปัตย์ เราเคารพผลการเลือกตั้ง เคารพผลการนับคะแนน ถ้ามันยุติธรรม แต่ปัญหาคือเห็นการนับคะแนน 2-3 ครั้ง รวมถึงการบวกลบเลขอะไรต่าง ๆ รวมแล้ว 5 ครั้ง ผลคะแนนกลับไปกลับมา โดยที่ กกต. ไม่ต้องรับผิดชอบ ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นว่า กกต. ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสง่างาม ถ้าประชาชนไม่เชื่อถือผลการเลือกตั้ง ประเทศจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้” นายธนาธร กล่าว

เมื่อถามว่าจะมีแนวทางอย่างไรให้ กกต. รับผิดชอบ และถ้าเลือกตั้งใหม่พรรคอนาคตใหม่อาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นายธนาธร กล่าวว่า ไม่ได้คิดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องของความถูกต้อง ความยุติธรรม ถ้าเลือกตั้งใหม่แล้วแพ้เราก็ยอมรับ ไม่มีอะไร ส่วนจะทำอย่างไรให้ กกต. รับผิดชอบ พรรคจะเรียกร้องให้ กกต. มีคำสั่งไปที่ กกต.จังหวัดทุกจังหวัด ให้เปิดเผยผลการนับคะแนนรายหน่วยทั่วประเทศ และจากจุดนั้นจะเริ่มมาดูกันว่าหน่วยไหนมีความผิดปกติอย่างไรบ้าง นั่นคือจุดเริ่มต้นขอให้เปิดข้อมูลเพื่อความโปร่งใส

เมื่อถามกรณีมีผู้สมัคร ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ 11 ราย ถูกร้องต่อ กกต. ให้ตรวจสอบกรณีถือหุ้นสื่อนั้น นายธนาธร กล่าวว่า เรื่องนี้สบายใจ พรรคอนาคตใหม่มีข้อมูลของทุกพรรคอยู่ในมือว่า มีผู้สมัคร ส.ส. พรรคอื่นอีกมากมายที่มีลักษณะเดียวกัน ถ้าใช้บรรทัดฐานนี้ ส.ส. ทุกพรรคก็คงหายไปหมด

นายปิยบุตร กล่าวเสริมกรณีนี้ว่า กรณีของผู้สมัคร ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ 11 คน มีหลายกรณีที่มีการปิดบริษัทไปแล้ว เสร็จการชำระบัญชีไปแล้ว พูดง่าย ๆ ถ้าเป็นบุคคลก็หายสาบสูญ ตายไปแล้ว ขณะที่หลายกรณีโอนเรียบร้อยก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นทั้ง 11 คนนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน

“ฝากไปถึงผู้ที่ร้องเรียน เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้หากร้องเรียนเป็นเท็จมีเป้าประสงค์ต้องการให้ผู้สมัครรายอื่น ๆ ถูกเพิกถอนสิทธิ หรือถูกใบเหลือง ใบแดงใด ๆ ก็ตาม คนร้องเรียนมีโทษตาม มาตรา 143 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. การทุจริต มีเหตุแจ้งเล่นงานเขาเป็นเท็จ เพื่อมุ่งหมายให้ผู้สมัครใด ๆ ถูกเพิกถอนสิทธิ เป็นเหตุฉกรรจ์ด้วย โทษสูงสุดถึงจำคุก และมีโทษปรับด้วย รวมถึงเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี ขอให้นักร้องเรียนทั้งหลายระวังเรื่องนี้ด้วย” นายปิยบุตร กล่าว

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

 

 


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน