สาธิต เผย เตรียมตั้งกรรมการสอบ สส. ประชาธิปัตย์โหวตสวนมติ หนุน เศรษฐา ชี้ โทษหนักถึงขั้นขับออก แต่ยังคุยกันได้ ด้านนริศ ชี้ทำไม่ได้หากร่วมรัฐบาลแค่บางส่วน ย้ำทุกอย่างต้องเป็นไปตามมติ กก.บห.

เมื่อเวลา 08.50 น. วันที่ 23 ส.ค. 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ในฐานะรักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการโหวตของ สส.ประชาธิปัตย์ ที่ไม่ไปในทิศทางเดียวกันว่า พรรคมีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ พรรค กรรมการบริหารพรรค(กก.บห.) และสส. ซึ่งการดำเนินการที่ทำให้พรรคเสื่อมเสีย หรือไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณพรรค ก่อให้เกิดความแตกแยก ก็เป็นสิทธิ์ของสมาชิก 20 คนที่จะเข้าชื่อตั้งกรรมการสอบสวนว่า สิ่งที่ทำนั้นทำให้เกิดความเสื่อมเสียกับพรรคหรือไม่อย่างไร

มีสมาชิกหลายคนพูดขึ้นมาว่า ถ้าสมาชิกมีพฤติกรรมแบบนี้ก็คงต้องทำหนังสือถึงหัวหน้าพรรคให้ตั้งกรรมการสอบสวน เพราะพรรคไม่มีการตั้งกรรมการไปเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลจะต้องทำหนังสือเชิญอย่างเป็นทางการจากพรรคแกนนำรัฐบาล มีขั้นตอนอยู่แล้ว

ฉะนั้น สส.หรือรักษาการตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งโดยตรง และไม่ได้รับมอบหมายจาก กก.บห. ถ้าไปปฏิบัติในสิ่งที่เกินอำนาจหน้าที่ หรือทำให้พรรคเสื่อมเสีย เพราะขณะนี้โดยระบบแล้ว ต้องยอมรับว่าพรรคเป็นฝ่ายค้านไปแล้ว และรัฐบาลก็จัดตั้งรัฐบาล 11 พรรคไปแล้ว ดังนั้นพรรคต้องจัดการภายในของพรรค

เมื่อถามว่าใครจะเป็นคนจัดการตรงนี้ นายสาธิตกล่าวว่าต้องเป็นไปตามข้อบังคับพรรคที่ระบุว่า ใครจะมีสิทธิ์ทำอะไรอย่างไร เช่นมีสมาชิกบางคนเดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตอนแรกบอกว่าไม่ได้ไป แต่ออกมายอมรับในรายการทีวีว่าไป ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายกับพรรค การกระทำแบบนี้เข้าข่ายไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมและสร้างผลกระทบทำให้พรรคเสียหาย

เมื่อถามว่าสมาชิกอ้างว่าการโหวตเป็นเอกสิทธิ์ นายสาธิต กล่าวว่า การโหวตเป็นเอกสิทธิ์ก็จริงแต่มติสส.ในที่ประชุมก็มีความสำคัญ อาจไม่ผิดในแง่ผิดมติสส. แต่น่าจะผิดในแง่ของการทำให้พรรคเสื่อมเสีย

เมื่อถามว่าตัวนายสาธิตจะเป็นผู้ริเริ่มให้ตรวจสอบคนที่โหวตสวนพรรคหรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า มีคนทำแล้ว และเกิน 20 คนที่เห็นว่า ความประพฤติแบบนี้และที่นำพาสส.ใหม่ที่ขาดประสบการณ์ไปร่วมด้วย ก็จะเป็นปัญหา เขาดำเนินการแล้ว ซึ่งทั้งหมดมีข้อมูลอยู่แล้ว การทำให้เกิดความเสื่อมเสีย พูดจากลับไปกลับมาทำให้พรรคเสียหาย หรือไปปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ได้รับมอบหมาย

เมื่อถามว่า 16 เสียงที่โหวตให้พรรคเพื่อไทย จะอ้างชื่อว่ามาจากพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า 16 เสียงนี้ต้องผ่านที่ประชุมกก.บห.และสส. ก่อนจะร่วม ทุกอย่างมีขั้นตอน เราปฏิบัติมาหลายครั้งแล้ว และทุกคนก็เข้าใจข้อปฏิบัติดี

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าวันนั้นตกลงที่ประชุมพรรคกำหนดให้เป็นมติพรรคหรือเป็นเอกสิทธิ์ สส. นายสาธิต กล่าวว่าตามรัฐธรรมนูญเป็นเอกสิทธิ์ แต่ขั้นตอนของพรรคก็มีการดำเนินการ แม้เป็นเอกสิทธิ์ แต่ถ้าในพรรคไม่ได้คุยก็คือไม่คุย แต่เมื่อพรรคคุยกันแล้ว และให้เป็นมติสส.ก็ควรปฏิบัติตามมตินั้น ถ้าถามว่าผิดไหมก็มีรัฐธรรมนูญที่ใหญ่กว่าข้อบังคับพรรคคุ้มครองอยู่ แต่ในเมื่อตกลงกันแล้วก็ถือว่าทำให้เกิดความแตกแยกและสร้างความเสียหายให้พรรค

เมื่อถามว่าแบบนี้ต้องขับออกจากพรรคหรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า ต้องเป็นไปตามหนักเบา ตนเห็นว่ากรณีนี้หนักมาก ซึ่งขึ้นอยู่กับกก.บห. ขึ้นอยู่กับข้อบังคับพรรคว่าจะลงโทษอย่างไร และตนคิดว่ากก.บห.ส่วนใหญ่จะเข้าใจความเสียหายที่เกิดขึ้น

เมื่อถามว่า โทษตรงนี้จะถึงขนาดต้องขับออกจากพรรคหรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า มีโทษขับออกจากพรรค แต่จะทำได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับข้อบังคับพรรค ส่วนที่มีสมาชิกอยากให้ขับออกจากพรรคก็ถือเป็นอีกเรื่องนึง แต่ทุกเรื่องพูดคุยกันได้ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีความเสียหายมากขนาดนี้ หัวหน้าพรรคจะต้องมีหนังสือและตั้งกรรมการสอบ

ด้านนายนริศ ขำนุรักษ์ รมช.มหาดไทย และอดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนเป็นรัฐมนตรีที่ไม่ได้เป็นกก.บห. จึงไม่ได้เข้าประชุมพรรค ส่วนการโหวตที่มีเสียงแตกไปก็ไม่ดีเท่าไร ถ้าเป็นตนโหวตเองก็จะทำตามมติพรรค แต่เราอยู่ไกลจากเหตุการณ์ อาจประเมินไม่ได้ดีเท่ากับคนที่อยู่ตรงนั้น

ส่วนที่มีคำถามว่านายร่มธรรม ขำนุรักษ์ บุตรชายโหวตอย่างไรนั้น นายนริศ กล่าวว่า ก็โหวตไปตามมติพรรค คืองดออกเสียง

ส่วนการโหวตของ นายชวน หลีกภัย และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อ นั้น ได้ขออนุญาตในที่ประชุมพรรค คือขอโหวตไม่เห็นชอบ ซึ่งเรื่องนี้ทำได้

เมื่อถามว่าการโหวตลักษณะนี้มีแนวโน้มไปร่วมรัฐบาลบางส่วนหรือไม่ นายนริศ มองว่า ทำไม่ได้ เพราะการร่วมรัฐบาลต้องประชุมพรรคก่อน โดยเป็นมติกก.บห. และที่ประชุมร่วม สส. การเดินเข้าไปเลยโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทำไม่ได้โดยข้อบังคับ ขณะที่การโหวตแบบใดแบบหนึ่งในสภา สส.มีเอกสิทธิ์ แต่การจะเข้าหรือไม่เข้าร่วมรัฐบาล ต้องมีการประชุมกก.บห. และต้องโหวตกันก่อน

เมื่อถามว่าการโหวตแบบนี้เกินคาดหรือไม่ นายนริศ ยอมรับว่า เกินคาด ตนก็ตกใจว่าทำไมผลออกมาแบบนี้ ซึ่งตนไม่ได้บอกอะไรบุตรชาย แต่ให้ยืนอยู่ในมติพรรค จะปลอดภัยที่สุดสถานการณ์เป็นนักการเมือง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน