วันที่ 6 ธ.ค. ที่ ช่อง 3 หนองแขม แม่แอ๊ด-โฉมฉาย ฉัตรวิไล ให้สัมภาษณ์หลังมาร่วมบันทึกเทปพิเศษบทเพลงเพื่อพ่อ เนื่องด้วยครบวาระพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวาร ถึงเรื่องที่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะลาออกจากวงการ

โดย ‘แม่แอ๊ด’ เผยว่า “ถ้าถามว่าเราอ่อนแอถึงขนาดทำอะไรไม่ได้ไหม มันไม่ใช่ เพียงแต่ว่าเรารู้สึกว่าเมื่อก่อนการที่เราได้เล่นละครทำงานอยู่ในวงการนี้ เรามีความสุขมาก เรามีความกระตือรือร้นในการทำงาน ขนาดตอนที่เป็นเมโนพอส(โรควัยทอง) เรายังรู้สึกกระตือรือร้นมากกว่านี้ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเหมือนเรากำลังเป็นโรควัยทองตอนอายุ 66 ปี เลยรู้สึกว่าไม่ได้มีความรู้สึกในการทำงานเหมือนเดิม แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้รับละครนะ เพียงแต่ว่าอย่าส่งบทละครที่ยาว 3-4 หน้ามาให้เล่น เราแค่รู้สึกว่าอยากเล่นสบายๆ บ้าง ย้อนกลับไปเมื่อก่อน เราเป็นคนที่ไม่ค่อยจะรับเล่นบทรับเชิญเพราะรู้สึกว่าถ้าบทไม่เยอะจะไม่ค่อยอยากเล่น แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าขอความกรุณาผู้จัดฯ ว่าให้เราเล่นบทรับเชิญเถอะ คือ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนเรามาเป็นโรควัยทองทั้งที่น่าจะเป็นตั้งแต่ตอนอายุ 50 ปี ความรู้สึกมันหมดเรี่ยวหมดแรงที่จะเล่นละคร แต่ถ้าให้เราไปออกรายการหรือทำอะไรที่ง่ายๆ ก็ยังทำได้ มันอาจเป็นความรู้สึกของการอิ่มตัวด้วย เมื่อก่อนนี้เวลาที่เราอ่านบทละคร อ่านแป๊บเดียวจำได้หมดเลย ทุกอย่างอยู่ในหัวหมด แต่เดี๋ยวนี้ถ้าสมมติว่าต้องมีถ่ายละครในตอนเช้าอีกวัน เรียกว่าจะต้องนอนท่องบททั้งคืน ซึ่งเราไม่เคยเป็นแบบนี้เลยมีความรู้สึกเหมือนเสียความมั่นใจ”

s__28680273

“ตลอดเวลาที่อยู่ในวงการเรารู้สึกว่าไม่เคยเป็นภาระใคร ถ้าไปถ่ายละครแล้วถูกสั่งให้เทกอยู่ตลอดเวลาไม่เคยเป็นเลย ทุกอย่างจะต้องเป๊ะ แต่เดี๋ยวนี้เราต้องมานั่งท่องจำบท กลัวว่าถ้าต้องเล่นแล้วเทกบ่อยๆ ในกองจะเป็นการถ่วงเวลาของคนอื่น ซึ่งนักแสดงแต่ละคน ก็จะบอกว่า “แม่! ไม่เป็นไรเลย” คนอื่นไม่เป็นไร แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นมาก แค่โดนเทกครั้งเดียวก็รู้สึกว่าเสียกำลังใจไปหมดแล้ว เพราะเมื่อก่อนเราไม่เคยเป็น” นักแสดงรุ่นใหญ่กล่าว

%e0%b9%82%e0%b8%89%e0%b8%a1

เริ่มรู้สึกตั้งแต่ตอนไหนกับอาการแบบนี้ แม่แอ๊ดบอกว่า “เพิ่งมาเป็นปีนี้ เมื่อสักประมาณ 5-6 เดือน ช่วงประมาณกลางปีเพราะตอนต้นปียังจำได้อยู่เลย แต่อยู่ดีๆ ก็เป็นขึ้นมาเฉยเลย ยิ่งพอมีข่าวว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต เรายิ่งรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันท้อไปหมด ส่วนที่มีข่าวว่าจะออกจากวงการ ตอนที่เป็นช่วงแรกๆ คิดจะออกเลยนะ เพราะว่าหนึ่งรู้สึกว่าหมดเวลาของเราแล้ว คงต้องพักแล้ว เหมือนเราเคยวิ่งออกกำลังกายได้ แต่อยู่มาวันหนึ่งเราก็วิ่งไม่ไหว ทำให้เรามีความรู้สึกว่าไม่อยากฝืนตัวเอง ไม่อยากฝืนศักยภาพของตัวเองด้วย แล้วเราเป็นคนที่เวลาทำงานทุกอย่างต้องเป๊ะ เรารักษาเวลาและมีวินัยดีมาก แต่พอเราเป็นแบบนี้รู้สึกไม่อยากเป็นภาระให้กับใคร”

ได้ปรึกษาคุณหมอบ้างไหม นักแสดงรุ่นใหญ่กล่าวว่า “ปรึกษาตลอด ตอนนี้หมอก็ให้ทานวิตามิน บำรุงสมอง วิตามินตั้งแต่ A-Z (หัวเราะ) ถามว่ากลัวไหมว่าถ้าหยุดทำงานจะเป็นยิ่งกว่าเดิม เราจะกลัวทำไม ในเมื่อการรับงานขึ้นอยู่กับเราตัดสินใจ ถ้าพักแล้วเรามีความรู้สึกว่าตอนนี้เริ่มเหงาแล้วนะ เราก็กลับมาทำได้ ตอนนี้มีคนมาถามว่าเราจะไม่เล่นละครแล้วเหรอ เราก็บอกว่าไม่ใช่ ยังไม่ได้ทิ้ง เพียงแต่ถ้าบทยาวๆ เราก็ไม่ไหว แต่ทุกวันนี้เรื่องการปรับตัวต่างๆ ของเราก็ดีขึ้น เพราะเรื่องแอ๊กติ้งเราไม่มีปัญหาเลย เรายังสามารถเป็นนักแสดงได้ เพียงแต่มีปัญหาเรื่องการจำบทยาวๆ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเราก็มีวงเล็บกับทางผู้จัดฯ ว่าอย่าให้เราพูดเยอะนะ ต่อให้เป็นบทถลกผ้าถุงมาด่า เราก็ทำได้ เพียงแต่ว่าอย่าให้ต้องมาด่าบทยาวเป็นหน้าๆ”

s__28680272

ได้คุยกับเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันว่าเรามีปัญหาแบบนี้ แม่แอ๊ดตอบว่า “คุยนะ ทุกคนก็จะบอกว่าอย่าไปคิดมาก แค่เรายังมีความรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำอะไรที่เกี่ยวกับการกุศล ยังรับงานต่างๆ ได้อยู่ ไม่ถึงขนาดเก็บเนื้อเก็บตัว ยังไม่ถึงขั้นลาออกจากวงการ แค่พักละครที่บทยาวๆ เพราะว่าระยะที่ผ่านมาเดือนสองเดือน ด้วยเหตุที่เรามีเรื่องเศร้ากันด้วย แล้วงานทุกอย่างก็จะต้องหยุดหมด หลังจากที่หมดช่วงเวลานี้ไปแล้ว ทุกคนก็ถามแม่จะออกจากวงการเหรอ เราก็บอกไม่ออก แต่ให้แม่เล่นน้อยๆ ละกันนะ”

รู้สึกยังไงที่ทุกคนอยากให้แม่อยู่ในวงการต่อ แม่แอ๊ดกล่าวว่า “กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเลยค่ะ เพียงแต่ว่าแม่เป็นคนที่รักษาคุณภาพการแสดงมากๆ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ติดตัวมาชั่วชีวิตของแม่คือจะเป็นนักแสดงที่ไม่สร้างภาระหรือสร้างปัญหาให้ผู้จัดฯ หรือผู้ร่วมงานทุกคน ถ้าใครจ้างแม่แล้วต้องได้คุณภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่ว่ากลัวเขาจะไม่จ้างนะ จริงๆ ไม่เคยคิดว่าจะอยู่นานขนาดนี้ แต่ความที่เราอยู่มาขนาดนี้ เมื่อก่อนพยายามเรียนหนังสือ ทำงานโรงแรม เขาให้เราไปเป็นรีเซปชั่น แต่งานเราเยอะ ทำทุกอย่างไม่ใช่แค่เล่นหนัง แต่เล่นละครทีวี ละครก็ชอบ แฟชั่นก็เดิน ลิเก ลำตัด เพราะคำว่านักแสดงไม่ได้จำกัดแค่จะต้องแสดงละครอย่างเดียว อะไรที่เป็นศิลปะเราต้องทำให้ได้ แล้วเราโชคดีตรงที่ว่าอะไรที่ไม่เคยทำอย่างลำตัด หมอลำ พอเราได้ฟังแล้วเราก็ทำได้ ถึงได้อยู่มาขนาดนี้ ที่ทำเพราะอยากอยู่ในวงการเหรอ ไม่ใช่นะ เรารักที่จะทำทุกอย่างในวงการนี้ แต่ว่าถ้าคนเขาไม่ยอมรับเรา ผู้จัดฯ เขาไม่ยอมรับเรา เราจะไปหน้าด้านอยู่ได้ยังไง”

ลูกสาวว่ายังไงบ้าง นักแสดงรุ่นใหญ่ กล่าวว่า “เขาก็พยายามเชียร์แม่ให้ทำต่อ คงจะกลัวว่าเวลาแม่อยู่บ้านจะบ่นเขามั้ง(หัวเราะ)”

ถ้าวันนั้นเราตัดสินใจไม่อยู่วงการ แล้วอยู่บ้านอย่างเดียว นึกภาพออกไหมว่าเราจะทำอะไร แม่แอ๊ดตอบว่า “อยู่ไม่ได้หรอก เราทำงานมาทั้งชีวิต แรกๆ ก็คิดว่าไม่เอาแล้ว ฉันอยากจะอยู่บ้าน แต่ผ่านไปแค่ 1-3 อาทิตย์ก็เริ่มเบื่อแล้ว แต่ถ้าถามว่าให้ทำงานที่ต้องท่องบทยาวๆ เราก็เฮ้อ…มันยังเป็นอะไรที่เป็นภาระ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ต้องอาศัยกินวิตามิน หาหมอให้หมอโด๊ปเราเยอะๆ”

คุณหมอบอกว่าเราจะมีอาการคล้ายอัลไซเมอร์ไหม แม่แอ๊ดกล่าวว่า “ไม่ถึงขั้นนั้น แค่ความขยันลดลงกับการที่เราจะต้องท่องบท มันจำได้แต่ต้องท่อง ซึ่งเมื่อก่อนเราแค่อ่านก็จำได้แล้ว ตอนนี้พอเราต้องเริ่มท่อง สมมติพรุ่งนี้เราต้องไปถ่าย คืนนี้เราต้องเริ่มท่องแล้ว ต้องเป๊ะๆ เพราะเราเป็นคนที่ห่วงเรื่องคุณภาพการแสดงของเรามาก”

“นอกจากเรื่องความจำแล้ว สุขภาพอย่างอื่นของเราปกติดี เพราะเราก็ยังขับรถไปกองเองได้อยู่ พี่อาร์ต(ลูกสาว)เขาก็รู้ว่าแม่เป็นคนยังไง ถ้าอะไรที่แม่ทำไม่ได้แม่จะเอ่ยปาก แม่จะไม่ฝืน”

“กราบขอบพระคุณนะคะที่ทุกคนเป็นห่วงไม่อยากให้เราลาออกจากวงการ เรารักวงการที่สุด มันแทบจะเป็นชั่วชีวิตของเราเลย เพราะฉะนั้นพอไปไหนมาไหนก็มีแต่คนถาม จนกระทั่งเรามีความรู้สึกว่ารู้อย่างนี้ฉันไม่พูดดีกว่า เพราะเราเป็นคนไม่มีความลับในชีวิตไง ยิ่งเจอเพื่อนก็จะพูด แล้วคนที่มาติดต่อเล่นละครทั้งหลายทั้งปวง เราถือว่าเขาเป็นนายทุนนะ ฉะนั้นเราก็ไม่อยากเป็นภาระของใคร” นักแสดงรุ่นใหญ่ทิ้งท้าย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน