เจเอสแอล แจงเหตุ กิ๊กดู๋ ย้ายช่อง – ช่อง 7 ปลดฟ้าผ่าพ้นจอ ลั่น! 32 ปีไม่เคยทรยศหักหลังใคร

วันที่ 6 ธ.ค. ที่ บ.เจ เอส แอลฯ ลาดพร้าว 107 หน่อย-จำนรรค์ ศิริตัน หนุนภักดี ประธานกรรมการ บริษัท เจ เอส แอลฯ เปิดใจกรณีรายการ “กิ๊กดู๋” ย้ายช่อง รวมถึงกระแสข่าวจบไม่สวยหลังช่อง 7 ปลดฟ้าผ่ารายการ “กิ๊กดู๋ สงครามเพลง เงาเสียง” และ “กิ๊กดู๋ ซุปตาร์เงินล้าน” ของบ.เจ เอส แอลฯ พ้นจอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีการตกลงว่าทั้ง 2 รายการสามารถออกอากาศจนถึงสิ้นปี แต่อยู่ๆ ทางช่อง 7 ได้ส่งจดหมายยุติการออกอากาศกะทันหัน โดยที่ทางรายการได้บันทึกเทปไว้หมดไปจนถึงสิ้นปีแล้ว

โดย ‘หน่อย-จำนรรค์’ กล่าวว่า “หลังจากที่มีข่าวเรื่องที่เจเอสแอลไม่ได้อยู่ที่ช่อง 7 แล้ว หลายวันที่เราไม่ได้ออกมาพูดคุยให้ได้รับทราบว่ามันเกิดเรื่องราวอย่างนี้ได้อย่างไร จะมีก็แค่คุณรติวัลคุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ ที่ออกมาชี้แจง แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องรายละเอียดว่าจริงๆ แล้วมันมีการเตรียมตัวหรือความเดือดร้อนนั้นมันมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ วันนี้ที่ออกมาพูดไม่ได้มาเพื่อจะทะเลาะกันหรือมาขุดคุ้ยเรื่องว่าใครถูกใครผิด เพียงแต่อยากจะมาชี้แจงข้อประเด็นเล็กๆ อันนึงว่า ทำไมถึงเจเอสแอลถึงทิ้งไปโดยที่ไม่รับผิดชอบหรือทำไมเลิกรายการโดยกะทันหัน”

จริงๆ แล้วเจเอสแอลทำงานกับช่อง 7 มาเป็นเวลาถึง 32 ปี อยู่กันมาเป็นคู่ค้า เป็นพาร์ตเนอร์ เป็นผู้จัด เป็นผู้ผลิตกับช่อง 7 เริ่มแรกจากรายการวิก07 เมื่อปีพ.ศ.2529 นับจากนั้นต่อมาก็มีอีกหลายรายการที่เจเอสแอลเป็นผู้จัดของช่อง 7 สมัยก่อนโมเดลทางธุรกิจคือการเช่าเวลาจากช่อง ส่วนเจเอสแอลก็หาโฆษณา 32 ปีมานี้เจเอสแอลได้เช่าเวลาจากช่อง 7 มาถ้านับเป็นจำนวนเงินก็ไม่ต่ำกว่า 2-3 พันล้าน แต่รายการของเจเอสแอลที่ปรากฏทางช่อง 7 ก็ได้มาเยอะ ฉะนั้นตรงนี้ไม่ได้ถือว่าเจเอสแอลเป็นผู้ให้หรือช่อง 7 เป็นผู้ให้ แต่ถือว่าต่างคนต่างได้ ต่างคนต่างรับ

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจเอสแอลทำหน้าที่ของผู้จัดอย่างสุดความสามารถ พยายามที่จะทำให้ทุกรายการได้รับความนิยม ในเรื่องของธุรกิจก็ไม่เคยบิดพลิ้ว จ่ายค่าเวลามาตลอด ความจริงแล้วเรื่องของความเดือดร้อนถ้าพวกเราอยู่ในวงการอุตสาหกรรมของโทรทัศน์ก็ต้องรู้ว่ามันไม่ได้สบายเหมือนอย่างเมื่อก่อนแล้ว แม้กระทั่งสถานีก็รับทราบอยู่ เพราะว่ารายได้จากสถานีก็ตกต่ำไปเยอะแยะ นอกจากไม่มีกำไรก็ยังขาดทุนด้วยซ้ำไป เจเอสแอลเองก็เช่นเดียวกันที่เป็นผู้จัดเล็กๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กระทบกระเทือนจากการที่เกิดสถานีโทรทัศน์ขึ้นมาหลายช่อง รวมถึงคอนเทนต์ทางอินเตอร์เน็ตออนไลน์ จึงได้กระจายการใช้เงินของสปอนเซอร์ไปเยอะ แต่ในการเป็นผู้จัดยังไงก็ต้องคงคุณภาพของรายการเอาไว้ คุณภาพไม่ได้ลดแต่ว่าอะไรได้ลด เจเอสแอลทำหนังสือไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 ซึ่งมีสัญญาณว่าทุกอย่างเริ่มหนักขึ้น โฆษณาลดลง แต่การลดลงก็ยังไม่เท่ากับว่าเจเอสแอลต้องขายแข่งกับทางสถานีด้วย เพราะสถานีก็ต้องทำให้ตัวเองอยู่รอด ซึ่งยังไงเจเอสแอลก็ขายแข่งสู้ไม่ได้เพราะสถานีขายเป็นแพ็กเกจใหญ่ แต่เจเอสแอลขายแค่เวลาของเรา แต่ก็ถือว่าที่เจเอสแอลอยู่รอดมาได้เพราะสปอนเซอร์ก็ยังให้ความไว้วางใจอยู่ ฉะนั้นจึงต้องมีกลยุทธ์ที่จะต้องคิดอะไรให้มันแตกต่างไปจากสถานี นั่นคือผลประโยชน์ที่จะให้กับสปอนเซอร์ การทำงานของผู้จัดหลายเล็กๆ มันลำบากยากเย็นขึ้นทุกวัน”

“หนังสือฉบับแรกของเราทำไปเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2559 เรื่องการขอลดค่าเช่าเวลา เกณฑ์ที่ขอไปคือ 50% ซึ่งสถานีก็ผ่อนผันให้ แต่ลดให้ไม่ถึงตามที่ขอไป ตรงนี้ก็ทำให้เห็นว่าความเดือดร้อนของผู้จัดเริ่มมี จากนั้นวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2560 เจเอสแอลทำหนังสือขอคืนเวลารายการจันทร์พันดาว อันนี้ต้องเห็นแล้วว่าสถานการณ์มันหนัก คือถ้าเราอยู่กับสถานีที่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ค่าโฆษณาแพงที่สุด แต่ทำไมยังต้องคืนเวลา ความจริงแล้วตรงนี้เป็นสถานที่ต้องตระหนักแล้วว่าผู้จัดให้ความเดือดร้อนจริงๆ นอกจากจะขอคืนเวลายังขอลดค่าเวลาไปด้วย จนมาวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 เจเอสแอลทำหนังสือขอลดค่าเวลา ขอยกเลิกแบงก์การันตี ขอให้พิจารณาจ้างบริษัทผลิตรายการ และก็ไม่ให้ช่องขายโฆษณาแข่งกับผู้จัด อันนี้เป็นหนังสือซึ่งไปจากผู้จัด 5 บริษัทจากช่อง 7 ไม่ใช่แค่เจเอสแอลบริษัทเดียว ตลอดเวลาเราก็รับฟังว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไร เรื่องที่เห็นได้ชัดที่ตอบกลับมาก็คือการผ่อนคลายในเรื่องของการเซ็นเซอร์โฆษณา นอกนั้นก็ยังไม่มีการตอบกลับมาว่าเขาจะช่วยเหลือได้อย่างไร เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วจะเห็นว่าบริษัทที่ทำงานอยู่แล้วปิดไป เริ่มต้นคือบริษัทของคุณดู๋(สัญญา คุณากร) รายการที่นี่หมอชิต อันนั้นไม่ใช่หยุดรายการ แต่คือปิดบริษัทไปเลยเพราะว่าไม่สามารถที่จะต่อสู้กับเรื่องค่าใช้จ่ายที่มันมากมายแต่ว่ารายรับมันลดลง ต่อมาบริษัทของคุณกิ๊ก(เกียรติ กิจเจริญ) ก็ปิดไปอีกเช่นกันเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง เพราะว่าทนกับค่าใช้จ่ายที่มันเกิดขึ้นไม่ได้”

“เมื่อมาถึงบ.เจ เอส แอลฯ จึงมาพิจารณาดูว่าถ้ายังดำเนินการอยู่ต่อไปก็คงต้องปิดบริษัทเช่นเดียวกับกิ๊กและคนอื่นๆ ที่อาจจะไม่ได้มีข่าวอะไรกันมากมาย เราอยู่ในวงการจะรู้ว่ามีคนที่ล้มหายตายจากจากการเป็นผู้จัดไปเยอะแยะมากมาย เพราะตอนนี้โมเดลทางธุรกิจมันเปลี่ยนไป เพื่อไปอยู่ได้ ถามว่าเจเอสแอลปฏิบัติตามกฎกติกามั้ย ขอยืนยันตรงนี้ว่าเราได้ปฏิบัติตามกฎกติกา ที่ทางสถานีได้กำหนดไว้ ว่าถ้าสัญญานั้นหมด และเราจะยุติการเช่าเวลาจะต้องมีการแจ้งก่อนล่วงหน้า 1 เดือน โดยสัญญาเราจะหมดในปลายเดือนธันวาคม นั่นก็คือเราจะต้องแจ้งภายในต้นเดือนธันวาคม อย่างช้าที่สุดคือวันที่ 1 ธันวาคม ทางสถานีจะต้องได้รับทราบหมดแล้วว่าเราจะไม่ต่อสัญญา”

“ส่วนในเรื่องของพีพีทีวีก็อยากที่จะชี้แจงว่าทำไมต้องเป็นพีพีทีวี ทำไมไม่อยู่ช่อง 7 ทำไมไม่ไปอยู่กับช่องอื่น อยากที่จะเรียนให้ทราบว่าทางบริษัทเองก็พยายามหาทางดิ้นรนที่เราจะพ้นจากภาวะวิกฤตตรงนี้ เราได้มีการเจรจากับหลายแห่ง จะเรียกว่าเจรจาก็ไม่ได้ เรียกว่าคุยกันแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งทุกคนก็อยากได้รายการของเจเอสแอลทั้งสิ้น แต่โมเดลทางธุรกิจคือไปทำผลิตรายการแล้วเขาไม่คิดค่าเวลา เราก็ไปทำรายการโดยเป็นหุ้นส่วนกันและกัน ในรูปแบบของไทม์แชริ่ง ซึ่งเราก็ไม่สามารถขายโฆษณาแข่งกับสถานีได้อยู่ดี เนื่องจากสถานีมีเวลาขายในหลายรายการ แต่เรามีเวลาขายอยู่แค่ 2 รายการเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าเราทำกับที่อื่นมันก็จะไม่เป็นการตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาวิกฤตที่เผชิญอยู่ได้ เราได้มีการพูดคุยกับทางพีพีทีวีโดยเป็นการคุยกันในแบบที่ไม่ได้ซีเรียสอะไรจริงจัง โดยแจ้งเขาไปว่าเราลำบากนะ พีพีทีวีสนใจมั้ย เขาก็เสนอทางเลือกมา ข้อที่ 1 คือเช่าเวลาเขา ข้อที่ 2 คือทำไทม์แชริ่งกัน และข้อที่ 3 ก็คือเรารับผลิตให้เขาไป โดยเขาเป็นผู้ลงทุนและเป็นผู้หาโฆษณา พอมาถึงประเด็นในข้อที่ 3 เป็นข้อที่ตอบโจทย์เราได้ทำให้เราหลุดพ้นจากวิกฤตตรงนี้ได้เพราะเราไม่ต้องไปขายโฆษณาแข่งกับสถานีเราแค่ทำรายการเราให้ดีที่สุดให้ได้เรตติ้งดีที่สุด เพราะทางพีพีทีวีเขามีเป้าหมาย คือการทำยังไงให้สถานีของเขาขึ้นมาและให้เรตติ้งเขาขึ้นมาในอันดับของท็อปเท็น โดยเขาเข้าใจธุรกิจดีทั้งหมดทุกอย่าง จะต้องแจ้งให้ทราบว่าพีพีทีวีไม่ได้มีสัญญาผูกมัดหรือผูกขาดใดๆ กับเจเอสแอลเลย แม้กระทั่งกับคนอื่นๆ ซึ่งเราคิดว่าก็คงจะเป็นลักษณะเช่นเดียวกัน นั่นก็คือเรามีสิทธิ์ที่จะไปผลิตรายการให้คนอื่นได้ ถือเป็นความใจกว้างอย่างที่สุด แม้กระทั่งให้เราผลิตรายการกับทางช่อง 7 ผู้ค้าเดิม เขาก็ไม่ได้มีปัญหา โดยเราจะทำกับช่องไหนก็ได้ทุกช่อง พีพีทีวีไม่ได้ผูกขาด เพียงแต่เขาต้องการให้เราไปผลิตรายการกิ๊กดู๋ฯ เพื่อเพิ่มเรตติ้งให้เขาเท่านั้น ถือว่าเป็นเงื่อนไขที่ใจกว้างที่สุดแล้ว เราถึงได้ตกลง แต่การตกลงกันเราไม่ได้ทราบก่อนล่วงหน้ามานาน ถ้าทราบก่อนล่วงหน้ามานานเราก็คงไม่ผลิตรายการ ซึ่งปัจจุบันรายการที่เราผลิตให้กับทางช่อง 7 ก็ไม่ได้ออนแอร์มีความเสียหายก็หลายสิบล้าน โดยเราเองเพิ่งตกลงกันได้เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และเมื่อตกลงกันได้ทันทีว่าเราจะไปแน่แล้ว และทางพีพีทีวีก็เปิดประตูรับเราแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องไปแจ้งกับสังกัดเดิมของเรา คือผู้ทำสัญญาเดิมของเราก็คือทางช่อง 7 ซึ่งในกติกานั้นจะต้องมีการแจ้งล่วงหน้าก่อน 1 เดือน เราพยายามที่จะทำการเข้านัด เพื่อไปแจ้งภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่จะต้องแจ้งเขาแล้ว โดยได้มีการรับนัดวันที่ 20 พฤศจิกายน เราถือจดหมายไปด้วยตัวเอง เพราะถือว่าเวลาเราไปเราต้องไปมาลาไหว้ก็ต้องไปด้วยตัวเอง แล้วก็ไปยื่นหนังสือ ถือว่าเป็นความบอกล่วงหน้าก่อนตั้ง 40 วันไม่ได้แบบปุ๊บปั๊บไป ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นปัญหาอะไร เพราะตอนที่คุณกิ๊กไปคุณดู๋ไปก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรทางช่อง 7 ก็รับทราบ และก็ให้ไปโดยดี เลยไม่ได้คิดว่ามันจะมีปัญหาเกิดขึ้นกับทางเจเอสแอล ซึ่งหลังจากที่แจ้งเสร็จ หลังจากนั้นมาทางช่อง 7 ก็ได้ส่งจดหมายให้เราเลิกรายการโดยบอกล่วงหน้าก่อนแค่ 2 วัน แจ้งวันพฤหัสบดีโดยวันเสาร์เราจะต้องออนแอร์ โดยเราก็ไม่ได้ว่าอะไรกัน เพราะในสัญญาถูกระบุว่าทางสถานีสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรายการได้โดยฉับพลัน ซึ่งเราเองก็เต็มใจเซ็น เพราะฉะนั้นทางสถานีไม่ได้มีความผิดอะไร เขาก็ทำถูกต้องตามสัญญา โดยสัญญาเขียนโดยคนที่เขาว่าจ้างเรา แน่นอนว่าสัญญาอันนั้น ความจริงแล้วความเป็นธรรมมันเหนือกว่าสัญญา แต่อันนี้สัญญามันคือความเป็นธรรม”
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการยกเลิกรายการกะทันหันจากทางช่อง 7 มันมากแค่ไหน?
“เราทำไปทั้งหมด 6 เทป คือเป็นส่วนของรายการกิ๊กดู๋ซุปตาร์เงินล้าน 4 เทป และก็เป็นรายการกิ๊กดู๋สงครามเพลงเงาเสียงอีก 2 เทป โดยพรุ่งนี้(7 ธ.ค.) จะมีการอัดเทปอีก 2 เทป เพื่อที่จะออนแอร์ให้ครบ ทางพีพีทีวีไม่ได้มีเงื่อนไขว่าเราจะต้องยุติการทำรายการกับทางช่องเดิมเมื่อไหร่ เราคิดว่าเขาเข้าใจในธุรกิจ โดยเราเชื่อว่าเขาเข้าใจว่าการได้รายการกิ๊กดู๋ฯ มาก็ไม่ได้ทำให้เขาขายโฆษณาได้สูงกว่าทางช่อง 7 แต่อย่างน้อยที่สุดเรตติ้งเขาก็ต้องขึ้นซึ่งเรื่องนั้นเขาเองเขาก็เข้าใจ ถามว่ามูลค่าความเสียหายจากการที่ถูกยกเลิกรายการอย่างกะทันหันก็ประมาณ 20 ล้านบาท โดยทางสถานีแจ้งเหตุผลของการยกเลิกว่าจะหารายการที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์มาลงแทน”

เมื่อมีเรื่องราวตรงนี้มาทำให้คนมองว่าทางเจเอสแอลกับทางช่อง 7 จบกันไม่ดี และไม่สามารถร่วมงานกันได้อีก?
“ถ้าถามเราในฐานะที่อยู่ในวงการมา 40 กว่าปีเจเอสแอล ไม่เคยเป็นผู้ทรยศหักหลังใคร เราอยู่ในวงการนี้มีแต่มิตร มีแต่เพื่อน ไม่เคยไปปล้นเอารายการของเพื่อนฝูงหรือแย่งรายการเพื่อนฝูงเรา แล้วทำไมกับผู้มีพระคุณของเรา เจเอสแอลเริ่มต้นจากช่อง 5 ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา แต่การที่ย้ายจากช่อง5 เพราะมันมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารกันอยู่ตลอดเวลา จนทำให้การอยู่ตรงนั้นมันไม่นิ่ง สมัยก่อนเราอยู่ช่อง 5 กับช่อง 7 ก็ไม่เคยไปไหน 32 ปีอยู่กับช่อง 7 ก็ไม่เคยเปลี่ยนใจ ไม่เคยไปไหนเลย มีที่ไปทำกับช่อง 9 คือรายการ “Perspective” กับ “เจาะใจ” เพราะช่อง 9 เขาถือว่าเป็นคนละหมวดหมู่ เราไม่ได้ไปทำรายการบันเทิงกับช่องอื่น ไม่ได้เอากิ๊กดู๋ ไปทำกับช่องอื่นเลย สิ่งที่ช่อง 7 ได้จากเจเอสแอลมันไม่ใช่แค่มูลค่าที่เจเอสแอลเป็นผู้จัดที่มีอายุยืนยาวและมีผลงานที่ทำแล้วมีเรตติ้งมาโดยตลอด ตั้งแต่รายการ 07, พลิกล็อก, จันทร์กะพริบ, จันทร์พันดาว, ขบวนการจี้เส้น สิ่งที่เราสร้างในวงการโทรทัศน์ สร้างคนสร้างรายการมา คนในวงการต่างเคยเป็นศิษย์เจเอสแอลทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเรื่องของการทรยศต่อผู้มีพระคุณก็ดี ต่อเพื่อนฝูงเราก็ดี ตรงนี้ไม่เคยมี ยามที่เราอยู่กับสถานีมา 32 ปี ไม่ใช่เรารุ่งโรจน์อยู่ตลอด มันมีตกต่ำ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ตั้งแต่ต้มยำกุ้งมาจนกระทั่งขายโฆษณายังไม่ได้เลย ตลอดเวลาเกิดความเสียหายมาตลอด ไม่ได้ว่าได้อย่างเดียว เสียก็เยอะ แต่เราก็ไม่เคยทิ้งช่อง 7 ไปไหนเลย ยืนยันในความจงรักภักดี ความรู้สึกที่ดีๆ เป็นความกตัญญูรู้คุณ มันอยู่ในหัวใจตลอดเวลา เพียงแต่ว่าในขณะนี้มันไม่สามารถต่อสู้ต่อไปได้ เพราะว่าช่อง 7 ไม่ได้มีนโยบายอย่างที่ช่องอื่นๆ เขามีกัน แม้กระทั่งไทม์แชริ่งยังไม่มีเลย เขามีนโยบายอย่างเดียวคือขายโฆษณา ขายเวลา เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถอยู่ตรงนี้ได้แล้ว มันไม่มีที่จะยืนจริงๆ สุดๆ แล้ว 2 ปีกว่าที่อยู่กับความทนทุกข์ทรมานที่ต้องต่อสู้”

ทิศทางของเจเอสแอลหลังจากนี้?
“ปีหน้าคาดว่าเรามีอิสระ ไม่มีข้อผูกพันกับอะไรทั้งสิ้น พีพีทีวีเองก็ใจกว้างว่าเราจะไปทำอะไรก็ทำ ขอรายกิ๊กดู๋ฯ อยู่ตรงนี้ก็โอเค ปีหน้าเจเอสแอลจะขยายงานไปทุกช่อง เราจะเปลี่ยนสภาวะของผู้จัดรายการที่หาโฆษณาเอง เป็นคอนเทนต์ดีไซน์เนอร์ เพราะเราดีไซน์ในสิ่งที่ลูกค้าเราต้องการทุกอย่าง ปีหน้าเราจะทำงานกับหลายช่อง ทรูก็ดี ช่องวันก็ดี ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่แต่ละช่องต้องการ หรือแม้กระทั่งในเรื่องของออนไลน์ เราก็ผลิตละคร เรื่องสุดท้ายที่เราทำ “เล่ห์รักบุษบา” ก็ทำเรตติ้งให้สูงสุดในละครทั้งหมด แต่โอกาสที่เราทำละครให้ช่อง 7 ปีละเรื่องมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เราตั้งฝ่ายละครขึ้นมา เพื่อหาคนเขียนสคริปต์ ผู้กำกับเก่งๆ แต่ปีละเรื่อง มันอยู่ไม่ได้อยู่แล้ว ปีหน้าเราจะบุกในเรื่องของละครด้วย โฆษณาเราก็ทำเยอะ มีแบรนด์ดิ้ง โฆษณา สารคดี ทอล์กโชว์ ละคร เกมโชว์ ซึ่งปีหน้าจะมีเกมโชว์กับทรู วาไรตี้โชว์กับพีพีทีวี ซึ่งมันหลากหลาย ออนไลน์เราก็มีละครทางไลน์ทีวีเรื่อง “พรุ่งนี้…จะไม่มีแม่แล้ว” เอามาจากญี่ปุ่นมารีเมกในเวอร์ชั่นไทย นี่คือการขยานอาณาจักรของ เจเอสแอลเราไม่ได้ตกต่ำลงนะคะ เพียงแต่เราเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจของเราให้กว้างขวาง ให้มันแผ่ไพศาลออกไปมากขึ้น”

“ถามว่าเรารู้สึกยังไงกับช่อง 7 ก็ต้องตอบตรงนี้ว่า 32 ปีที่ช่อง 7ให้อะไรกับเรามา ชาวเจเอสแอล ไม่เคยลืม จะจารึกไว้ในหัวใจ และถ้ามีโอกาสที่เราจะสามารถทำอะไรให้กับเขาได้ มันก็เป็นสิ่งที่ยินดีอยู่แล้ว ไม่ได้โกรธหรือเกลียด ไม่ได้มีความรู้สึกเลวร้ายอะไรกับเขาเลย คนเราต้องคิดนะว่า อดีตก็มีคุณค่า ปัจจุบันเราต้องดำเนินชีวิตอยู่ อนาคตเป็นสิ่งที่เราตอบแทนกันได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความหมายหมด ถ้าเราคิดแต่ปัจจุบันหรือมองแต่อนาคต เราก็ลืมสิ่งที่คนอื่นเคยทำอะไรดีๆ ให้กับเรา หรือเราเคยทำอะไรดีๆ ให้กับคนอื่น ซึ่งมันไม่ใช่เจเอสแอล อยากจะเรียนตรงนี้ให้ทราบว่า ไม่เคยทอดทิ้งผู้มีพระคุณไปอย่างฉับพลันทันใด แต่เพื่อแก้วิกฤติ เพื่อทำให้เรารอด ไม่ต้องปิดบริษัทไปให้เรายืนอยู่ได้ ขยายธุรกิจของเราออกไปให้มันกว้างขวางมากขึ้น เราก็จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ที่นี่ยังต้องรับผิดชอบพนักงานอีกร้อยๆ คน เราต้องเลี้ยงพนักงานของเรา”

“สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเจเอสแอล ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใหญ่โต เงินสามารถหาได้ วันนี้ขาดทุน พรุ่งนี้ก็อาจจะไปหาใหม่ได้ แต่สิ่งที่เราเสียใจก็คือคนที่เขาไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย อย่างเช่นสปอนเซอร์ที่ทำสัญญากับเราไปจนถึงสิ้นปี เขาแพลนงบประมาณไปหมดแล้ว บางคนก็จะต้องมีการจับฉลากถึงสิ้นปี มันทำให้เขาเสียหายมาก เขาไม่ได้มาอยู่ในเหตุการณ์อันนี้ แต่ทางสถานีเองพูดว่าไม่ไปวันนี้ก็ต้องไปวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นก็ไปวันนี้เลยดีกว่า อันนี้เป็นคำพูดที่ดิฉันรู้สึกเสียใจนะคะ ไปวันหน้าไม่มีใครเสียหาย ไม่เสียความรู้สึก แต่ไปวันนี้มีคนเสียหาย สปอนเซอร์เสียหาย แล้วสปอนเซอร์เองก็ไม่ได้มาซื้อเจเอสแอลอย่างเดียวนะคะ เขาก็ซื้อทุกช่องแม้กระทั่งช่อง 7 ทำไมต้องให้เขามารับผลกระทบตรงนี้ด้วย”

“สองคือคนดูเสียหาย คนดูที่รักช่อง 7 คนดูที่รักกิ๊กดู๋ เขาไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย ทำไมเขาต้องมารับผลตรงนี้ ความรู้สึกที่เขารักรายการก็ดี รักสถานีก็ดี คือความผูกพัน จะเห็นได้จากยอดออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นมาว่าเมื่อเราไม่ได้มีรายการอยู่ในสถานี ยอดผู้ชมเราเพิ่มขึ้นมาอีก 4 เท่าหรือ 400% เพราะเขาก็ยังรักอยู่ เขายังตาม ถ้างั้นตรงนี้การกระทำอะไรก็แล้วแต่ การตัดสินใจอะไรก็แล้วแต่ก็ขออย่าให้เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ เลย และให้เราลดละเลิกอะไรที่เป็นตัวตนกันไปเถอะ ทุกคนวันนี้ต้องอยู่ด้วยการต้องช่วยกัน เห็นได้จากกรณีของ กสทช. เมื่อก่อนที่เขาก็เข้าใจว่าสถานีต้องดีมากเลย สถานีต้องได้เงินเยอะ แต่มาบัดนี้ 6 ปีผ่านไปให้เห็นเลยว่ามันเกิดความเดือดร้อนกันขนาดไหน มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิด เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือมันถึงได้เกิดขึ้น การตระหนักถึงว่าถ้าเผื่อว่าธุรกิจของอุตสาหกรรมโทรทัศน์มันเสียหาย นั่นคือคนหลายหมื่นและอุตสาหกรรมมันใหญ่ เพราะฉะนั้นมันเป็นแสนๆ ล้านต้องถูกกระทบกระเทือนเดือดร้อน นั่นคือที่มาของการที่เขาจะต้องมาดูประเมินผลใหม่ พวกนี้มันอยู่ได้โดยการเข้าอกเข้าใจกัน พร้อมที่จะช่วยเหลือประคับประคองกัน เพื่อให้ทุกคนอยู่ได้ ไม่ใช่อยู่ได้คนเดียว เพราะมันต้องอยู่ทั้งอุตสาหกรรม ปัจจุบันนี้สถานีโทรทัศน์ทุกช่องก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ฉะนั้นความร่วมมือมันต้องเกิดขึ้นโดยการที่หนึ่งคือไม่ผูกขาดแล้ว ดาราก็ผูกขาดไม่ได้นะคะ ปัจจุบันนี้ดาราก็อยากจะเป็นอิสระ ผู้จัดก็อยากจะเป็นอิสระ สถานีเองก็ไม่อยากที่จะต้องดูแล ทำไมเขาจะต้องมาดูแล ดารามีตั้ง 100 คนจะให้มาเล่นทุกเรื่องก็เป็นไปไม่ได้ ผู้จัดมีตั้งหลายคนจะเทเวลาไปให้ผู้จัดหมดก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นปล่อยให้อิสระและเป็นการเบาตัวของสถานีเองด้วย และเป็นการให้ทางเลือกกับผู้จัดที่เขาไม่ต้องเอาภาระไปไว้กับสถานี ไม่ต้องให้ดารานั่งรอคอยงาน”

“ตอนนี้มันเป็นอย่างนั้น โลกมันปรับเปลี่ยนแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเกิดสถานีช่องใดยังมีความเป็นตัวตนสูง ยังคิดอยู่กับสิ่งเดิมๆ ไม่ปรับวิธีการที่จะเปลี่ยนวงจรธุรกิจใหม่ หรือเปลี่ยนความคิดใหม่ก็ต้องอยู่คนเดียวในโลกนะคะ และถามว่าการสู้กันเนี่ย ความจริงการเอื้ออารีต่อกันมันทำให้ชนะหมดทุกอย่าง แทนที่จะเป็นศัตรูและห้ำหั่นกัน การแบ่งภาระของกันและกัน มันทำให้พวกเราเบาตัวกันนะคะ”

“อยากจะบอกว่าสิ่งที่เจเอสแอลมาแถลงในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อจะมาปกป้องตัวเองไม่ได้ เพื่อทำให้ภาพของเจเอสแอลดี แต่เรากำลังจะพูดในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงวงจรธุรกิจของโทรทัศน์ว่ามันจำเป็นต้องเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง อยากจะขอร้องให้พวกเราชาวโทรทัศน์ทุกคนมีความรัก มีความสามัคคีกัน มีความเอื้ออารี มีความเมตตากัน ช่วยเหลือกัน ให้ทุกคนอยู่รอด”

“สำหรับ “กิ๊กดู๋” ถือเป็นรายการที่ทำรายได้ให้ เจเอสแอลเป็นอันดับ 1 ส่วนที่จะไปอยู่กับช่องพีพีทีวี ใช้ชื่อรายการว่า “กิ๊กดู๋สงครามเพลงเงินล้าน” เทปแรกจะเป็น “บอดี้สแลม” ออกอากาศวันแรก 8 ม.ค.2562 ในรูปแบบเดิมและฉากเดิม แต่ว่าวันที่ 25 ม.ค.2562 ถึงจะเป็นรูปแบบใหม่และฉากใหม่ ส่วนต้นทุนการผลิตต่อเทปก็หลายล้าน แต่ไม่เปิดเผยได้มั้ยคะ สำหรับเจเอสแอบตอนนี้ไม่มีรายการกับช่อง 7 แล้ว แต่ถ้าติดต่อมาก็ยินดีอยู่แล้วค่ะ แล้วเราก็รำลึกถึงสิ่งที่ได้ทำมาด้วยกัน มันไม่ได้สูญหาย เจเอสแอลซื่อสัตย์และกตัญญูอยู่แล้ว 32 ปี”

“ในส่วนของสปอนเซอร์ที่เสียหาย ทางเราก็พยายามแก้ไขให้เขาอยู่ ต้องขอโทษด้วยนะคะ เขาไม่ได้รู้เรื่องด้วย พยายามเยียวยาแก้ไขให้ดีที่สุด เดี๋ยวไปอยู่ทางพีพีทีวี เรามีอะไรที่จะแก้ไขชดใช้ให้ได้ พีพีทีวีเขาก็ยินดีอยู่แล้ว เขาใจกว้าง ช่วยรับผิดให้ได้ก็เต็มที่ ตอนนี้รายการของเจเอสแอลก็มีช่อง 9 อยู่ 2 รายการ คือ “เจาะใจ” กับ “Perspective” ส่วนช่องพีพีทีวีมี 1 รายการ คือ “กิ๊กดู๋สงครามเพลงเงินล้าน” แต่ว่าปีหน้าเราจะเป็นปีของการรับจ้างผลิต รายการที่ทำแล้วขายโฆษณาเองเราก็ต้องเลือกสุดๆ อาจจะมีรายการใหม่ 2 รายการที่เป็นพาร์ตเนอร์กับทางสถานี คือจะเลิกเช่าเวลาแล้ว”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน