บุ๋ม-ปนัดดา แจงปมเลิกสามี เหตุติดเกม – ไม่มีเวลาให้ ลั่น! ชีวิตต้องเดินต่อ

วันที่ 17 ธ.ค. ที่ อาคารออกอากาศ ช่อง 9 อสมท. บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ม่ายสาวชื่อดัง มาร่วมอัดรายการตกมันส์บันเทิง จากนั้นได้ให้สัมภาษณ์ถึงปมเลิกรากับสามีหนุ่ม เอก-เอกริน นิลเศรษฐี หลังใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเกือบ 5 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าตัว ได้โพสต์อินสตาแกรมส์ส่วนตัว พร้อมข้อความว่า “ขอไปแสวงบุญที่อินเดีย 5 วันนะคะ ส่วนเรื่องครอบครัว ขอไม่พูดอะไรมาก เพราะเราไม่ได้ทะเลาะกันและยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันค่ะ” ในขณะนั้นทำให้หลายคนสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่

บุ๋ม-ปนัดดา

ตั้งโต๊ะแถลง แจงปมเลิกราสามี

โดย บุ๋ม เผยว่า “ความสัมพันธ์ของเราคุยกันมา และพยายามประคับประคองกันในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง มีการคุยเรื่องการเลิกกันหลายครั้ง จะต่างคนต่างอยู่ดีมั้ย หรือต่างคนต่างใช้ชีวิตเป็นของตัวเองดีมั้ย เพื่อที่จะได้ทำตามสิ่งที่ตัวเองชอบมากยิ่งขึ้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว บุ๋มเจอกับเขามาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2557 และความสัมพันธ์ก็มาจบลงตอนปลายปี 2561 นั่นหมายถึงว่าเกือบๆ 5 ปีที่เราดูแล และประคับประคองกันมา และอีกอย่างคือ ให้เหตุผลกับเขาไปว่า ถ้าเกิด ณ วันนี้คุณไปดูแลยิม ดูแลตัวเอง ดูแลรูปร่างอย่างที่คุณฝัน อย่างที่คุณชอบ อย่างที่คุณถนัด แล้วบุ๋มก็ไปทำงานสังคมอย่างที่บุ๋มชอบเช่นเดียวกัน และมันไม่ได้เกลียดกัน เพราะบุ๋มกลัวว่า ณ วันหนึ่งคนที่บุ๋มเคยรักมากๆ ถ้าวันหนึ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง มันจะกลายเป็นทะเลาะ ทะเลาะจนเป็นอารมณ์มันไม่ใช่เหตุผล ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่บุ๋มกลัวจะเสียคนที่รักมากไป พอรักมากๆ แล้วพอมันไม่ใช่มันกลายเป็นเกลียด เราโตแล้วค่ะ และอยู่ด้วยเหตุผล เรามีลูกแล้ว บุ๋มไม่อยากจะมานั่งฟูมฟายร้องไห้ต่อหน้าลูก ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ บุ๋มพยายามทำในแต่ละวันให้ดีที่สุด ในเมื่อวันนี้มันไม่ดี ก็ต้องมาคุยกันว่าอะไรที่ไม่ดี แล้วเราจะทำยังไงให้มันดี ถ้าต่างคนต่างอยู่มันดีกว่ามั้ย ไม่ต้องมานั่งคาดหวังกันว่า เธอต้องเป็นอย่างนั้น ฉันต้องเป็นอย่างนี้ก็เลยมาสรุปข้อตกลงกันที่ว่า งั้นต่างคนต่างอยู่ดีกว่า คุณก็ดูแลตัวเองไป บุ๋มก็ดูแลตัวของตัวเองใหม่ เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”

อยู่ในสถานะเพื่อนที่ไม่ใช่สามี-ภรรยา กันมาแล้วกี่เดือน ?
“เราไม่ใช่การระบุคำแบบนั้น แต่เพียงด้วยความรู้สึก ด้วยการใช้ชีวิต มันเริ่มที่จะถอยออกมาสักพัก เราเริ่มนั่งมองเขาจะยังไงนะคุณ สะกิดเขาให้มานั่งคุยกันหน่อยสิว่า คุณจะเล่นเกมอย่างนี้ใช่มั้ย ฉันจะทำงานเพื่อสังคม แล้วคุณก็ยืนงอนฉันอย่างนี้ใช่มั้ย มันก็เลยกลายเป็นว่า แล้วชีวิตเราจะยังไงกันต่อ กลายเป็นว่าที่ผ่านมาใช้คำว่าประคับประคองดีกว่า มันไม่ใช่เหมือนเด็กๆ ที่จะมาวันนี้เป็นแฟนนะ วันนี้ไม่ใช่แฟนนะ คงไม่ใช่อย่างนั้น คงเป็นลักษณะเหมือนกับว่า วันนี้มีอะไรที่ไม่ดี แต่ข้อเสียของบุ๋มอย่างหนึ่ง เวลาที่รักใครมากๆ เวลาที่เขาทำอะไรที่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ หรือไม่ถูกต้อง บุ๋มมักจะไม่พูดตรงๆ จริงๆ แล้วกับคนร้ายคดีความต่างๆ ที่ทุกคนเห็นบุ๋มสายลุยตลอด บุ๋มพูดตรงๆ ชัดเจน เพราะถือว่าเรายืนในความถูกต้อง เราสู้เพื่อความยุติธรรม แต่เรื่องของความรัก เวลาเรารักใครก็ตาม เวลามีเรื่องอะไรเรากับพูดกับเขาอ้อมๆ ไม่อยากทำร้ายด้วยคำพูด เรารู้ว่าเราเป็นคนที่ทำหน้านิ่งก็ดูดุแล้ว ดังนั้นบุ๋มก็พยายามที่จะพูดว่าคุณครั้งนี้พอมั้ย อย่าเล่นอีกได้มั้ย อย่าทำอย่างนี้ได้มั้ย ก็เลยกลายเป็นว่าเราไม่บอกเขาตรงๆ ซึ่งเขาก็เลยไม่รู้ตัว”

คนหนึ่งอาจจะเล่นเกม คนหนึ่งอาจจะทำงานเพื่อสังคม จริงๆ แล้วฟางเส้นสุดท้ายคืออะไร ?
“พูดไม่ถูก มันเป็นอะไรที่ยิบย่อยๆ สะสมมากกว่า เพราะถ้าเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เป็นเรื่องใหญ่มันคงทะเลาะกัน แล้ววันนี้ก็คงยังไม่คุยกัน แต่ ณ วันนี้เรายังคุยกันอยู่ เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ เรายังทำธุรกิจด้วยกันอยู่ ไม่ได้มานั่งเกลียดกัน ทะเลาะกัน อย่ามาเจอกันอีกเลยนะ ไม่เอาอีกแล้วนะ ที่ผ่านมามันกลายเป็นว่าเขาก็มีจุดยืนของเขา หลังๆ บุ๋มเริ่มทำองค์กรทำดีพร้อมกับคบกับเขา บางคืนบุ๋มยอมรับเลยว่าเราไปช่วยผู้หญิงออกจากซ่องที่ต่างประเทศ มันใช้เวลาตอนดึกบางครั้งเสร็จตอนตีสี่ แต่มันทำให้เขาหว้าเหว่ เขารู้สึกว่าเราไม่สนใจเขามากพอหรือยังไง แต่เรากลับรู้สึกว่า ถ้าคืนนี้แค่คืนเดียวฉันอยู่กับคุณอีก 6 คืนในสัปดาห์ แค่คืนนี้คืนเดียวที่ฉันอยู่กับคุณ แต่ฉันไม่อยู่ แต่ได้ไปช่วยชีวิตผู้หญิง 1 คนกลับมา ซึ่งทุกคนก็เห็นในไอจีที่บุ๋มกอดน้องผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ให้เห็นหน้าไม่ได้ บุ๋มได้ช่วยเขากลับประเทศไทยมันคุ้มกว่า ในความรู้สึกของบุ๋มนะกับความสัมพันธ์ เพราะเรามองเขาระยะยาว เราคบกันไม่ใช่แค่ปีนี้ หรือแค่วันนี้ เราคบกันจนวันตาย นี่คือสิ่งที่บุ๋มคิด ดังนั้นขอหนึ่งวันที่เราได้ช่วยใครสักคน กลายเป็นเขากลับมองจุดนั้นว่า ณ วันนั้นทำไมเราไม่ใส่ใจเขา”

ชีวิตคู่ครั้งที่สองจบลงแล้วน้ำตามีไหม ?
“มีแน่นอนค่ะ แต่เป็นความโชคดีที่ว่าได้ไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดียพอดี เป็นทริปที่ท่าน ว.วชิรเมธี บอกเราในฐานะลูกศิษย์ให้ไปช่วยงาน บอกล่วงหน้าเพราะการที่บุ๋มจะหายไป 1 สัปดาห์ กับการทำรายทีวีขนาดนี้มันต้องบอกคิวงานล่วงหน้าเป็นเดือน วันนั้นที่สุวรรณภูมิบุ๋มนั่งร้องไห้อยู่หลังตู้แอร์ เรากลัวคนเห็นแต่มันแบกความรู้สึกไม่ไหว(เสียงสั่น) เราไม่อยากไปเจอคนอื่นๆ ด้วยสภาพน้ำตาท่วมหน้า เราก็เลยร้องให้มันจบตรงนั้น เอาทิชชูเช็ดหน้าแล้วก็ไปทำงานต่อ แต่งหน้าไม่ไหวแล้ว ณ วันนั้น ถามว่าอ่อนแอมั้ย ก็มีบ้างค่ะ”

ตอนเอกขนของออกจากบ้าน เรากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ใช่ไหม ?
“ใช่พอมันเห็นสภาพบ้านที่มันโล่งแล้วที่เจ็บที่สุด อย่างวันพุธเตียงที่เราอุตส่าห์ไปซื้อมาใหม่ มันกำลังจะมาส่ง มันกลายเป็นว่าเตียงนั้นเราต้องนอนคนเดียว”

โมเมนต์นั้นมียื้อไว้ไหม ?
“ยื้อไว้ไหมเหรอ ไม่ เพราะว่าไม่ใช่วันเดียวที่คิดกัน มันคิดกันมาหลายวัน แล้วก็คนที่บ้านก็รู้กันหมดแล้วเราพยายามจะไม่ทะเลาะต่อหน้าลูกเด็ดขาด อันดามันไม่เห็นภาพคุยของเราเลย อันดามันจะเห็นแค่ว่าวันนี้มีเขาและอีกวันไม่มีเขาแต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามคือความรักที่มีต่ออันดามันยังเหมือนเดิม แม่ยังทำหน้าที่แม่ของแม่เหมือนเดิม”

ครั้งสุดท้ายที่ได้พูดคุยกับเอก ?
“วันนี้เขาก็ยังไลน์มาหาเรื่องหมา อย่างที่ทราบเราซื้อหมามาด้วยกัน ดูแลหมาที่บ้านด้วยกัน ก็เลยเป็นว่ามีเรื่องที่ยังต้องคุยกันอยู่ ปรึกษากันอยู่ เพราะว่าที่ผ่านมาเขาก็มีบทบาทในชีวิตของบุ๋มอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ต้องมานั่งจัดการชีวิตกันใหม่”

ธุรกิจยังทำอยู่ด้วยกันหรือแยกกัน ?
“หลักๆ ยังเป็นเขาดูแลอยู่ ซึ่งบุ๋มเป็นหุ้นส่วนน้อย เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ถ้า ณ วันนี้ไปแล้วเขารู้สึกตะขิดตะขวงใจ หรืออะไรก็ตามบุ๋มคงยกให้เขาหมด”

เสียดายไหมเวลา 4-5 ปี ?
“ไม่เสียดาย เพราะว่าที่ผ่านมามันก็เป็นสิ่งที่บุ๋มสร้างมากับมือ บุ๋มก็ไม่อยากให้มันมีปัญหาหรือกระทบธุรกิจอะไรแล้วก็บุ๋มอยากให้ลูกน้องทุกคนสบายใจได้ว่าธุรกิจจะสามารถเดินต่อไป บุ๋มยังเดินเข้าออกอยู่ในยิม เข้าไปช่วยบริหารอยู่ตรงนั้น เพียงแต่ว่าหลักๆ เป็นเขาที่ดูแลทั้งหมดอยู่แล้ว”

อนาคตมีโอกาสจะกลับมาคืนดีกันไหม ?
“อนาคตก็คงเป็นเรื่องของอนาคต เพราะขนาดวันนี้ บุ๋มเองยังไม่คิดว่าตัวเองจะมานั่งสัมภาษณ์เรื่องเลิก บุ๋มก็ไม่คาดฝันมาก่อนเหมือนกัน ชีวิตที่ต้องมานั่งเลิกสามี ดังนั้นอนาคตของวันนี้ บุ๋ม ยังไม่รู้เลยว่าจะเจอแบบนี้เหมือนกัน บุ๋มก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ไม่มีใครอยากให้ชีวิตคู่ล้มเหลว ส่วนเรื่องอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาคุยกันไหม เป็นอะไรต่อกัน เป็นยังไงต่อกัน แต่อย่างน้อยบุ๋มเองยังมีความรู้สึกดีๆ ต่อเขาอยู่นะ”

กำลังใจเป็นยังไงบ้าง ?
“กำลังใจนอกเหนือจากแฟนๆ ที่ส่งกันมาเยอะแยะมากมาย แบบในไอจีเข้ามากันมาเป็นพัน เป็นหมื่น ขอบคุณจริงๆ แล้วก็อันนามันคือกำลังใจสำคัญมากๆ สำหรับบุ๋ม ก็คุยกับอันดามัน ถ้ามีคนถามหนูถึงเรื่องครอบครัวหนูจะว่ายังไง คุยกับเขาตรงๆ เพราะเขาก็โตแล้ว เขาก็บอกว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่เกี่ยวอยู่แล้ว แม่ตัดสินใจยังไงเขาก็เชื่อการตัดสินใจของแม่อยู่แล้ว”

ไปปฏิบัติธรรมมาได้อะไรกลับมาบ้าง ?
“บุ๋มว่าบุ๋มโชคดีนะ ที่ตอนนั้นบุ๋มได้ไปปฎิบัติธรรมเลย ได้ไปแสวงบุญที่อินเดียเลย เลยทำให้จิตใจกลับมาเข้มแข็งเร็วมาก บอกเลยว่าวันแรกๆ ร้องไห้หนักมากๆ แต่พอหลังจากนั้นจิตเริ่มนิ่งมากขึ้น เริ่มเห็นว่ามีมาก็ต้องมีจาก เราเริ่มเอาสัจธรรมของชีวิตมาใช้กับชีวิตตัวเองมากขึ้น บุ๋มโชคดีที่มีพระอาจารย์ ว. นำทางนำบุญและสอนอะไรหลายอย่าง เลยทำให้บุ๋มกลับมาใจนิ่งเร็วขึ้นมาก และนั่งปฏิบัติธรรมได้ในวันหลังๆ ที่เริ่มหาสมาธิตัวเองเจอ เริ่มหาคำตอบของชีวิตตัวเองเจอ ก็เลยทำให้กลับมานิ่งได้เร็ว ไม่งั้นก็คงแย่เหมือนกันบุ๋มพูดตรงๆ ค่ะ”

พอกับความรักหรือยังพร้อมจะเปิดใจใหม่ไหม ?
“ณ วันนี้ไม่กล้าคิดค่ะ เพราะว่าเจ็บอยู่เหมือนกันค่ะ และรู้สึกว่าพอมีคนมาจีบปุ๊บ มีเลยนะวันแรกเลย พอข่าวออกมา ข้อความมาเยอะเลย มันกลับรู้สึกกลัวมั้ง หรือเข็ดอะไรนิดๆ เพราะเราเป็นคนที่เวลารักใครแล้วเราทุ่ม เวลารักใครแล้วเราเต็มที่ แต่ผลปรากฎว่าเมื่อมันไม่ใช่เราก็เลยจะรู้สึกกลัว อนาคตคงไม่ทราบค่ะ คงขอใช้ระยะเวลาดีมากกว่านี้อยู่กับลูก อยู่กับหมาที่บ้านดีกว่าค่ะ”

คอมเมนต์ในไอจีบอกว่าทำไมไปทำบุญแล้วแต่งหน้า ?
“ที่ไปอินเดียแล้วแต่งหน้า เนื่องจากว่าบุ๋มไม่ได้ไปบวชนะคะ อันนี้ต้องขอชี้แจงก่อน ว่าบุ๋มไปเป็นลูกศิษย์ของทางพระอาจารย์ ว. และไปช่วยทริป ช่วยไปเอ็นเตอร์เทน คือกึ่งไปทำงานมากกว่าค่ะ และอารมณ์เหมือนลูกศิษย์ ที่โดนใช้งานไปดูแลลูกทัวร์ 50 คน ดังนั้นพอวันแรกที่ไป บุ๋มใส่แต่แว่นอย่างที่เห็นนะคะ ร้องไห้หนักมากเลย แต่พอวันที่สองมันเห็นหน้าตัวเองในกระจก บุ๋มก็มานั่งนึกว่าแล้วฉันจะไปทำงานด้วยสภาพหน้าของฉันอย่างนี้เหรอ ก็เลยกลายเป็นว่าต้องแต่งหน้าช่วย อันนี้ขอยอมรับว่าต้องแต่งหน้าช่วย และชุดก็ใส่ชุดอินเดียเป็นสาวอินเดียเพื่อเอ็นเตอร์เทนลูกทัวร์ค่ะ ดังนั้นบุ๋มไม่ได้ไปบวช ถ้าบวชศีล 8 หรือศีล10 บุ๋มไม่แต่งหน้าอยู่แล้ว อันนี้เราทราบกฎตรงนี้ดี เพราะว่าเราก็ปฎิบัติธรรมบ่อย แต่อันนี้คือไปทำงาน นำทัวร์ไปแสวงบุญดังนั้นก็เลยไปขอแจกความสดใสดีกว่าไปยืนหน้าเศร้าตาบวม ก็คงไม่ได้ผิดอะไร อันนั้นคือทราบว่าตัวเองไปทำอะไร และเต็มที่กับงานค่ะ”

คนบอกว่าเราลัคกี้อินเกมส์ แต่ไม่ลัคกี้อินเลิฟ ?
“บุ๋มก็อยากจะลัคกี้ทั้งอินเกมส์และลัคกี้ทั้งอินเลิฟนะคะ และถึงพยายามที่ว่าถ้าวันนี้ไม่ดีก็เลยรีบเลิกดีกว่า คือจะไม่ประคองจนกระทั่งทะเลาะกันหรือเกลียดกัน ดังนั้นบุ๋มพยายามจะทำให้วันนี้มันดีที่สุด ถ้าวันนี้ไม่ดีที่สุดก็ถอนกันออกมาเพื่อให้วันพรุ่งนี้มันดีกว่านี้ ดังนั้นก็เลยกลายเป็นว่าไม่รู้ว่าความรักที่บุ๋มกำลังพูดถึงคืออะไร แต่ในฐานะที่บุ๋มรัก บุ๋มขอรักตัวเอง ขอรักลูก รักสังคมที่บุ๋มทำ ดังนั้นหมายถึงว่าถ้าอะไรวันนี้ที่มันไม่ดี บุ๋มจะดันมันออกไป นี่คือสิ่งที่บุ๋มเป็น”

แสดงว่าเรายังจะเดินหน้าเพื่อสังคมต่อไป แม้ว่าคนที่จะเข้ามาเขาจะไม่โอเคที่เราจะไม่มีเวลาให้เขา ?
“มันคงต้องทำต่อค่ะเพราะบุ๋มรู้สึกว่าบุ๋มมีความสุขที่บุ๋มได้ช่วยคน และเวลาเราเห็นคำขอบคุณเราเห็นน้ำตาที่เขาได้มีชีวิตกลับมา มีชีวิตรอดหรือว่ามีครอบครัว มีชีวิตใหม่ เรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เรามีความสุข เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาด้วยสไตล์ของเขา เขาไม่ได้ชอบ เห็นมั้ยคะว่าเขาไม่เคยไปลงพื้นที่กับบุ๋ม เพราะเขาไม่ชอบแนวนั้น แต่เราชอบอะไรที่ลุยๆ ล่าสุดก็ไปฝึกกับทหาร นี่คือสไตล์ของบุ๋ม แต่เขาอาจจะไม่ใช่แนวนั้นสักเท่าไหร่ เราก็ไม่ว่าอะไรก็เลยไม่พาเขาไป หรือถ้าเกิดจะให้บุ๋มเอาแต่ไปเที่ยวกับเขาอย่างเดียว บุ๋มก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ เอาเวลาบุ๋มไปทำอย่างอื่นดีกว่า มันก็เลยมองกันคนละมุม เดินกันคนละทางค่ะ”

มีอะไรจะฝากถึงเอกไหม ?
“คงไม่ต้องหรอกค่ะ เพราะว่าคุยกันประจำอยู่แล้วค่ะ อย่างวันนี้ก็เพิ่งคุยกัน ก็บอกเขาล่วงหน้าว่าเดี๋ยวจะมีสื่อมาสัมภาษณ์ล่วงหน้านะ ถ้าบุ๋มพูดอะไรตรงไปตรงมา หรือว่าพูดอะไรที่มันกระเทือนก็ต้องขอโทษไว้ก่อน ขอโทษครอบครัวเขาด้วย”

มีง้อกันไหม หรือมีโอกาสที่จะกลับมาคืนดีไหม ?
“เขาก็มีพูดนะคะ เพียงแต่ว่า ณ วันนี้บุ๋มก็ถามว่าแล้วมันจะกลับมาเหมือนเดิมหรอ ถ้ากลับมาเหมือนเดิมแล้วมันจะทะเลาะกันอีกมั้ย มันจะเกลียดกันมั้ย ถ้ากลับมาเหมือนเดิมมันจะดีมั้ย มันมีคำถามที่บุ๋มเองก็พูดไม่ออก บุ๋มก็หาคำตอบไม่ได้อีกเยอะมาก ดังนั้นก็เลยยังไม่อะไรมากกว่านี้”

ยังรักเอกอยู่ไหม ?
“รู้สึกผูกพันมากกว่าค่ะ 5 ปี มันไม่ใช่เรื่องน้อยๆ เลยนะคะ กับการคบใครสักคนที่อยู่ด้วยกันตลอด ดูแลกันมาตลอดค่ะ”

มีภาพหวานๆ ตอนยังคบกัน มองย้อนกลับไปรู้สึกอย่างไรบ้าง ?
“ก็ต้องขอบคุณสื่อที่ช่วยย้อนภาพให้นะคะ(หัวเราะ) คือเปิดไปดูก็จุกอยู่เหมือนกันค่ะ มันไม่ใช่ไม่อยากมีนะ เมื่อมันไม่มีแล้วก็ต้องทำใจให้ดีที่สุดค่ะ

บุ๋มดูเป็นผู้หญิงสตรองในหลายๆ เรื่อง อยากบอกต่อในมุมมองความรักของบุ๋มอย่างไร ?
“บุ๋มคงไม่กล้าสอนคนอื่นหรอกค่ะ เพราะตัวบุ๋มก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในเรื่องความรักสักเท่าไหร่ แต่กับลูกบุ๋มพยายามที่จะทำตัวเข้มแข็งให้เขาเห็นมากกว่า คือพูดไปก็เท่านั้นถ้าแม่ทำไม่ได้ ทุกวันนี้ทำให้เขาเห็นว่าแม่ไม่เอาความรักเป็นตัวเดินนำชีวิต แต่แม่เอาหนูเป็นตัวนำชีวิตแม่ แล้วความรักที่แม่มีให้หนูนี่คือเต็มเปี่ยม ไม่ว่าแม่จะเป็นม่าย หรือแต่งงานใหม่ สิ่งที่สนุกกับหนูมีรอยยิ้ม กับหนูก็ยังเหมือนเดิม จะไม่มีความเศร้าให้เขาเห็น จะให้เขาเห็นว่าผู้หญิงควรมีชีวิตและรักตัวเองให้มากที่สุดไม่ว่ายังไงก็ตามเพื่อ ณ วันหนึ่งที่เขามีความรักเขาต้องไม่ฟูมฟายเหมือนกับแม่ของเขา”

พูดความรู้สึกหรือขอบคุณกำลังใจจากแฟนๆ ตั้งแต่วันที่มีข่าว ?
“ก็แปลกใจเหมือนกัน ตอนแรกคิดว่าจะโดนด่าเยอะค่ะ แต่กลับกลายเป็นว่ากำลังใจเยอะกว่า แล้วก็เข้าใจเยอะมาก ทุกคนก็จะบอกว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ว่ามีพบก็ต้องมีจาก แล้วก็เห็นว่าบุ๋มยังมีคุณค่าในการทำงานเพื่อสังคมมากกว่ามานั่งฟูมฟายเรื่องความรัก เข้าใจบุ๋มแล้วก็บอกว่ากำลังใจสำคัญอยู่ที่อันดามันนะ มาเตือนสติบุ๋มเยอะมากเลย แล้วก็มาให้กำลังใจบุ๋มเยอะมากเลย บุ๋มต้องขอบคุณทุกๆ คน ขอบคุณจริงๆ ที่ส่งกำลังใจมาเยอะขนาดนี้ ต้องขอบคุณครอบครัวของบุ๋มด้วย แล้วก็ขอบคุณแม้กระทั่งคุณเอกและครอบครัวคุณเอกด้วย ที่เข้าใจพวกเราในการที่ไม่ต่อว่าอะไรเลย ยังยินดีที่จะให้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน บุ๋มต้องขอบคุณตรงนี้มากๆ เลยค่ะ ขอบคุณทุกคนด้วยค่ะ”

เลิกรากันด้วยความไม่เข้าใจ ?
“มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่สะสมกันมามากกว่าเรื่องเขาติดเกมส์ ส่วนเราก็เรื่องเวลา หลังๆ ไปงานต่างจังหวัดไม่ได้พาเขาไป ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก่อนเรายังลากเขาไป ปรากฎว่า พอเราลากเขาไปต่างจังหวัด เขาก็บอกว่าเขาไม่ได้เล่นเวท แล้วผู้ชายเล่นกล้าม มันต้องอยู่ยิม ต้องกินข้าวตรงเวลา 5 มื้ออย่างน้อย พอพาเขาไปก็บ่นว่าผมกินไม่ครบ ซึ่งฉันก็ไม่ได้กินเหมือนกัน แต่เราก็อยากเห็นเขามีความสุข รักเขา ก็ให้เขาอยู่ยิม เราดูแลตัวเองได้ หลังๆ วิ่งงานต่างจังหวัดของบุ๋มเอง ก็ยิ่งห่างกัน ทำให้เรารู้สึกว่ามีเขาหรือไม่มีเขามันก็ไม่ต่างกัน แล้วเขาดูแลอะไร และบุ๋มก็ทำงานเพื่อสังคมอีก องค์กรทำดี การช่วยเหลือคนมันทิ้งไม่ได้ ให้น้องอยู่ในซ่องไปก่อน พรุ่งนี้ส่งคนไปช่วยมันก็ไม่ได้ใช่ไหม มันต้องช่วยตอนนั้นให้เขาออกมาให้ได้ แต่นั่นเขายืนมองบนบันได้ขณะที่เรากำลังประสานงาน กับต่างประเทศอยู่ ถ้าคืนนี้ฉันใช้เวลาหนึ่งคืนช่วยคนออกจากซ่อง มันคุ้ม แต่เขารู้สึกโดนเอาเวลาไป”

ไม่พลาดข่าวฮอตแวดวงมายา
แค่กดเป็นเพื่อนไลน์ ข่าวสด@บันเทิง ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ต่างกับช่วงแรกที่คบกันไหม ?
“ไม่หรอก ช่วงแรกเขายังไม่ติดเกมส์ และบุ๋ม ก็ยังไม่ได้ทำองค์กรทำดีชัดเจนขนาดนี้ ฟิตเนสก็ยังไม่มี ดังนั้น เวลามันเปลี่ยน สิ่งที่เรามีเข้ามาก็เปลี่ยน ชีวิตเราก็เปลี่ยน บทบาทหน้าที่ ภาระมันก็เปลี่ยน เลยกลายเป็นว่า คุณเป็นแบบนี้ ฉันเป็นแบบนี้ แล้วเราอยู่เพื่ออะไร”

เอกมีหุ้นฟิตเนสกี่เปอร์เซ็นต์ ?
“ส่วนน้อยมากค่ะ เพราะมี 3 หุ้น ถามว่าเอกมีคนอื่นหรือเปล่า ไม่น่ามีได้นะคะ กล้องวงจรปิดรอบตัวขนาดนั้น บุ๋ม เชื่อใจนะคุณเอกไม่มีมือที่สาม ไม่ว่าจะเห็นมีใครอินบอกซ์มาหาเขาก็ตาม คือผู้หญิงเราซิกเซ้นส์แรงอยู่แล้ว จับสังเกตุได้อยู่แล้ว”

มีใครเป็นกาวใจไหม ?
“ไม่มีนะซิ เพราะว่าอันดามัน ตอนแม่เลิกกับพ่อเขาก็ยังเล็ก แต่คุณเอกก็ไม่ใช่พ่ออยู่แล้ว เขาก็เลยชิล ถามว่ามีการปรับตัวมั้ย พยายามปรับมาครึ่งปีที่ผ่านมา ปรับกับเยอะมาก ตัวบุ๋มเองก็ปรับ แต่มันคงปรับได้จุดหนึ่ง ชีวิตแต่ละคนต้องเดินต่อ มันมีปัจจัยอื่นๆอีก อย่างบุ๋ม ถ่ายรูปบนเตียงที่จะถ่ายกับปูนึ่ง (สุนัข) แล้ว มันติดเขา เขาก็จะโวยวายว่าไปถ่ายเขาทำไม เขาอ้วน ยังไม่หล่อ ยังไม่เฟิร์ม ยังไม่ฟิต เราก็เลยไม่ถ่าย ตัดเขาออก รำคาญ กลัวเขาบ่น ซึ่งเราขี้เกรงใจก็ระวัง”

เราอยากมีสามีที่เป็นผู้นำไหม ?
“ทุกคนก็อยากมีคนมาดูแลอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ให้เขาดูแลตัวเองให้ได้ก่อนดีกว่า ซึ่งคนต่อไปก็คงเลือกคนเป็นผู้นำ แต่ถ้าอายุมากกว่า แต่ทำตัวเด็กก็ไม่ไหว ถามว่าเขามีทีท่าง้อเรามั้ย มีค่ะ แต่บุ๋มถามกลับไปคำถามเดิมที่เคยคุยกันว่า แล้วจะยังไงคำตอบคืออะไร ทางออกคืออะไร เขาก็ยังตอบบุ๋มไม่ได้”

สินทรัพย์ที่มีด้วยกันคือฟิตเนสอย่างเดียวใช่ไหม ?
“ใช่ค่ะ เขาเป็นคนกู้ลงทุนอยู่แล้วบุ๋มเป็นส่วนน้อย ถามว่าถ้าเขาสามารถปรับตัวได้ จะมีโอกาสรีเทิร์นมั้ย อนาคตก็กลับมาได้ ถ้าเขาให้คำตอบบุ๋ม ตามที่เคยถามเขาไป ส่วนสาเหตุหลักคือเขาติดเกมเป็นจนทำให้เลิกกันใช่มั้ย ไม่ใช่ค่ะ มันหลายปัจจัย ไม่ใช่สาเหตุสำคัญ แต่เป็นจุดที่ 6 เดือนที่แล้ว เริ่มทะเลาะกัน”

ขอบคุณรูปจากไอจี : boompanadda

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน