เอ๋ ไพโรจน์ แจงอีกครั้ง ลูกโพสต์โดนตัดชื่อออกจากทะเบียนบ้าน แค่เข้าใจผิด
วันที่ 5 มี.ค. ที่ เอซสตูดิโอ ซอยคลองหลวง 17 ดารารุ่นใหญ่ เอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร มาร่วมยินดีกับ “เป๊ก-ธัญญ่า” หลังเปิดสตูดิโอบันเทิงครบวงจร เอซสตูดิโอ ที่ ลงทุนกว่า 600 ล้านบาท ในพื้นที่ 145 ไร่ โดยหลังงานได้ให้สัมภาษณ์ชี้แจงถึงกรณีลูกออกมาโพสต์ว่าโดนตัดชื่อออกจากทะเบียนบ้าน ถึงขั้นเตรียมฟ้องศาล?
ไพโรจน์ สังวริบุตร
ถามถึงที่ลูกออกมาโพสต์ว่าโดนตัดชื่อออกจากทะเบียนบ้าน?
“เรื่องผ่านมาและจบไปแล้ว จากวันนั้นมาชี้แจงเขาไป ก็จบ เขาฟ้องก่อนที่จะเกิดเรื่องตรงนั้นอยู่แล้ว คำว่าฟ้องศาล คือ เขาไปฟ้องศาลปกครอง หมายถึงเขาแครงใจว่าส่วนราชการทำถูกระเบียบไหม ที่เอาชื่อเขาออกไปจากทะเบียนบ้าน พูดง่ายๆ เหมือนไปถามว่าทำไมเอาออกมาได้ แต่ในทางกฏหมาย คำว่าเจ้าของบ้าน กับเจ้าบ้านในทะเบียนบ้านเป็นคนละเรื่องกัน ตรงนี้ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน เพราะเขาฟ้องตั้งแต่ก่อนมีข่าวแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่ายังไงต่อ เพราะเขาฟ้องศาลปกครอง ไม่ได้ฟ้องผม เพราะฉะนั้นผมไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น เขาแค่ถามว่าทำไมย้ายเขาออกไปอย่างนั้น ขอให้เขากลับมาได้ไหม”
มีคนจับผิดว่าเราเป็นคนเซ็นให้เขาย้าย?
“แน่นอน เราเป็นเจ้าของบ้าน จะเอาตัวเราเองไปเป็นเจ้าบ้าน โดยหลักการเขาจะต้องย้ายเข้าทะเบียนบ้านกลาง เราก็ไม่ได้ทำขนาดนั้น แค่เข้าไปเป็นเจ้าบ้าน แล้วให้เขาเป็นลูกบ้าน ไม่ได้ดึงชื่อออก ปัญหาคือเขาอยากเป็นเจ้าบ้าน(หัวเราะ)”
คนมองว่าพ่อลูกแย่งสมบัติกัน?
“อย่าพูดแบบนั้น เพราะทำให้ลูกเสียหาย ในสังคมไทยไม่มีใครเห็นด้วยหรอกที่ลูกจะมาอยากได้สมบัติของพ่อแม่ ในขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นอย่าพูดแบบนั้นสงสารลูก คนจะเข้าใจผิด เราก็ไม่รู้อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศเลยทำให้เขาโพสต์ออกไปแบบนั้น”
คนมองลูกอกตัญญูฟ้องพ่อ เรามองยังไง?
“คนแค่เข้าใจผิดใหญ่โตกันไปเอง เราก็แค่ชี้แจงให้เขาฟัง พอชี้แจงไปก็จบ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คุยกับเขา เพราะเขาอยู่กับแม่ เราก็อยู่ของเรา ทำมาหากินของเราไป ปกติก็ไม่ได้ติดต่อกัน นานๆถึงจะติดต่อที ซึ่งเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหน แต่ไรแล้ว ลูกคนอื่นๆ ก็เป็นอย่างนี้ ไม่ได้มีอะไรผิดแปลก ผมก็ไม่รู้ว่าปัญหานี้จะจบอย่างไร เรื่องของเรื่องเราเป็นเจ้าของบ้าน อยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ปี 2532 ผ่านมา 30 แล้วที่เราเป็นเจ้าของอยู่ตรงนั้น จริงๆ ไม่ได้เป็นแบบถาวร เพราะยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ แค่นั้นเอง”
ก่อนหน้านี้มีชื่อใครเป็นเจ้าของบ้าน?
“คนที่มีชื่อในเอกสารสิทธิ์ก็เป็นเจ้าของบ้านเท่านั้นเอง”
ถ้าจะให้เขากลับมาอยู่ในทะเบียนบ้านได้ โอเคไหม?
“ตอนนี้เขาก็ยังอยู่ นี่ไงถึงได้บอกว่ามันสับสนกันไปเอง ไปถามอะไรกันเกินกว่าเหตุ เราไม่ได้ย้ายเขาออกจากเจ้าบ้าน แค่ย้ายเขาเป็นลูกบ้านเท่านั้นเอง”
ไม่ได้บอกเขาล่วงหน้าว่าจะเข้าไป?
“เอ้า..ทำไมต้องบอกล่ะ”
ปัญหาคือลูกอยากมีชื่อเป็นเจ้าของบ้าน?
“น้องพีทเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย เป็นเรื่องระหว่างคุณแม่เขา แต่เดิมก่อนแต่งงานอยู่ด้วยกัน เราเป็นเจ้าบ้านอยู่ทางกรุงเทพฯ สร้างบ้านกี่หลังเราก็ต้องเอาคนอื่นไปใส่ชื่อไว้ เพราะโดยกฏหมายแต่ละบ้านต้องมีคนรับผิดชอบเพราะไม่งั้นถ้าเกิดไปขาย ผู้ร้ายไปอยู่ ไปค้ายาเสพติด มันต้องมีคนรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นต้องมีชื่อ คนทั่วไปเขาจะเข้าใจกฏหมายว่าคนเป็นเจ้าของบ้านกับคนที่เป็นเจ้าบ้านมันคนละเรื่องกัน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าคุณแม่เขาคงไม่พอใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ ลูกชายเขาอยู่ด้วย แม่เขาคงไปบ่น เท่านั้นเอง อย่าไปต่อความยาวสาวความยืดเลย สงสารลูก เพราะว่าเขาเข้าใจผิดก็ชี้แจงเขาไป ตั้งแต่วันนั้นพอมีข่าวมาก็ชี้แจงไปมันก็จบแล้ว อย่าไปรื้อฟื้น”
พอเกิดเรื่องขึ้นความสัมพันธ์ของพ่อลูกมันห่างเหินกันไหม?
“เหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไร อย่าพยายามให้พ่อลูกเขาแตกกันแล้วกันนะ(หัวเราะ) เขามีธุระอะไรโทรมา เราก็คุยกับเขาเหมือนเดิม แต่ว่าสภาพมันเป็นแบบนี้กันอยู่แล้ว ลูก 3 คนก็เป็นแบบนี้ ต่างคนต่างอยู่กันไป เขาโตกันหมดแล้ว ถ้ามันมีอะไรที่ต้องเกี่ยวพันกัน เขาก็ติดต่อกันไปมา คุยกันแค่นั้นเอง แต่ถ้าเขาไม่ได้ติดต่อมา ก็ไม่มีอะไร อย่าไปซีเรียสอะไร เป็นความเข้าใจผิดกัน”
ตอนนี้เราเป็นเจ้าบ้านกาญจนบุรี?
“เป็นสิ แต่เขาไม่ได้อยู่บ้านนั้นตั้งแต่เลิกกัน ตั้งแต่ก่อนเลิกกันเขาก็ไม่เคยอยู่ แต่เขาไปบอกว่าอยู่มาตลอด ซึ่งมันไม่ใช่ข้อเท็จจริง”
ตอนนี้บ้านจะทำเป็นสถานปฏิบัติธรรมด้วย?
“ยังไม่ได้เป็น เป็นดำริว่าถ้าต่อไปเนี่ยอยากจะทำให้เป็นสถานปฏิบัติธรรม เพราะแฟนใหม่เขาจะไปแนวนี้ เมื่อ 2 ปีที่แล้วไปบวชชีมาเดือนหนึ่ง เมื่อ 3 เดือนก็ไปเข้าคอร์ส คือเขามีใจทางด้านเกี่ยวกับสมาธิ และเขารู้ว่าอันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคน เคยมาเอ่ยปากขอว่าถ้าต่อไปมันไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ จะทำสถานปฏิบัติธรรมได้ไหม ผมยินดี เพราะถ้าทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อจิตใจของคนทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรที่จะขัดข้องแค่นั้นเอง ยังไม่ได้เป็น”
