ใหม่ สลัดภาพซุปตาร์ ทุ่มสุดตัวเล่น กรงกรรม โชว์สกิลด่าไฟแลบเทกเดียวผ่าน!

ละครออกอากาศไปเพียง 2 ตอน แต่ชื่อของ “ย้อย” เถ้าแก่เนี้ยเจ้าของกิจการร้านค้าและโรงสี แห่งตลาดอำเภอชุมแสง จ.นครสวรรค์ กลายเป็นที่โจษจันไปทั่วบ้านทั่วเมือง ถึงความปากร้ายที่ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น วันนี้ “ข่าวสดออนไลน์” มีโอกาสได้พูดคุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับดารา-นักร้องชื่อดัง ใหม่ เจริญปุระ ผู้ซึ่งถ่ายทอดตัวละคร “ย้อย” ในละคร “กรงกรรม” ได้ออกมาแบบถึงพริกถึงขิง รวมถึงสกิลการด่าไฟแลบแบบไม่ติดไฟแดง จนได้ฉายาจากคนในกองถ่ายว่า “ใหม่เทกเดียว” แต่งานนี้ไม่ง่ายเพราะกว่าจะเล่นได้ออกมาอย่างที่เห็น เจ้าตัวถึงกับอาเจียนระหว่างการถ่ายทำเลยทีเดียว

ละครออกอากาศไป 2 ตอน ฟีดแบ๊กเป็นยังไงบ้าง?
“ดีงามมาก ถล่มทลาย โทรศัพท์แตก เพื่อนฝูงแฟนคลับโทร.กันมาได้รับแต่เรื่องราวดีๆ เต็มไปหมด”

หลายคนค่อนข้างตะลึงกับสกิลการด่าของพี่ใหม่มาก?
“(หัวเราะ)สกิลเลยเหรอ ก่อนไปเล่นก็ต้องทำการบ้านก่อนว่าจะรับบทเป็นใคร เมื่อศึกษาบทแล้ว คุยกับพี่อ๊อฟ(พงษ์พัฒน์) พี่แดง(ธัญญา) และทีมงานแล้ว จากนั้นในฐานะนักแสดงก็ต้องเล่นให้เต็มที่ สลัดความเป็น ใหม่ เจริญปุระ ทิ้งไว้ที่บ้าน ถามว่ายากมั้ยเพราะไดอะล็อกยาวมาก รวมถึงอินเนอร์ก็ต้องไปตามด้วย จริงๆ ก็เทกเดียวตลอด ตอนนี้ได้ฉายาในกองว่า “ใหม่เทกเดียว” แต่กว่าจะทำทุกอย่างได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยอมรับว่าเราก็หยุดรับงานนักร้องไว้ชั่วคราวเมื่อปีที่แล้ว แล้วงานปีที่แล้วของเราเยอะมาก เราเองก็ต้องท่องบทเยอะเพราะร้างลามานาน อยากทำให้ดีที่สุดเพราะกลัวว่าจะไปทำให้คนอื่นเสียเวลา แล้วก็อยากให้สมกับที่พี่อ๊อฟพี่แดงเขาหมายมั่นไว้

 

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

#ทีมย้อย 🔥 #ทีมเรณู เอาให้สุดค่ะคู๊ณณณ‼️ . . #กรงกรรม #ช่อง3 #ช่อง33 #repost naythanawat

โพสต์ที่แชร์โดย @ actart_gen เมื่อ

ยอมทุ่มเทหยุดงานนักร้อง เพื่อมาเล่นละครเรื่องนี้เลย?
“ใช่ค่ะ มันต้องทำอย่างนั้นอยู่เพราะโดยปกติเราไม่รับงานซ้อนอยู่แล้ว การรับงานนึงและกระโดดไปรับอีกงานหนึ่งเราเกรงว่าจะทำได้ไม่ดี รวมถึงเป็นคนแยกประสาทไม่ได้ด้วย ปีที่แล้วเราก็ได้คุยกับทางพี่อ๊อฟ สืบเนื่องจากเราเองมีคอนเสิร์ต 30 ปีเมื่อที่แล้ว บอกว่าสามารถมั้ยถ้าเกิดถ่ายๆ ไปสัก 3-4 เดือนแล้วเราจะต้องหายตัวไป 3 เดือนเพื่อจะไปรับหน้าที่นักร้อง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องแบ่งแยกคิวตัวเองให้ได้ดี ผลลัพธ์ก็เลยออกมาอย่างที่เห็น ที่เห็นว่าท่องบทเป๊ะคือเราท่องบทซะจนข้างบ้านน่าจะเชิญออกจากหมู่บ้านได้แล้ว(หัวเราะ) คือมันต้องท่องจนคำเข้าปากเข้าเนื้อเข้าเส้นเลือดไปเลย การที่เรารู้ว่าย้อยเป็นคนแบบนี้ด้วย บวกกับเราพอมีศาสตร์ของการแสดงมาแล้วส่วนหนึ่ง สิ่งที่อิงอยู่เสมอคือต้องเล่นแล้วธรรมชาติ เล่นเหมือนไม่ได้เล่น ต้องกระโจนเข้าไปในตัวย้อยเลย”

ย้อนถามว่าอะไรที่ทำให้ตัดสินใจรับละครเรื่องนี้?
“อยู่ที่บทค่ะ บทประพันธ์ของคุณจุฬามณีทุกเรื่อง รวมถึงกรงกรรมด้วยเป็นอะไรที่ทราบกันดีว่าติดอยู่ในใจของแฟนคลับหลายคน ถึงพริกถึงขิง แล้วมันก็เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจลึกล้ำ โดยเฉพาะเรื่องกรงกรรมที่เราทราบว่ามีเรื่องราวที่มีเรื่องจริงเข้าไปอยู่ในนี้ด้วยบ้าง ขณะเดียวกันโปรดักชั่นของพี่อ๊อฟก็เป็นอะไรที่การันตีอยู่แล้ว ซึ่งถ้าพี่อ๊อฟและมั่นใจที่จะเลือกเรา ยิ่งพอได้อ่านบทก็ยิ่งรู้ว่าตัวบทมันดีจริงๆ อีกอย่างเราเคยแสดงเป็นแต่ตัวนำมาตลอด เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเราจะต้องไปเล่นละครทั้งทีซึ่งห่างหายมานานถึง 16 ปี ถ้าบทมันไม่คุ้มค่าแก่การจะลงไปเล่นเนี่ย แล้วยิ่งต้องรับทเป็นแม่ที่มีลูกชาย 4 คนด้วย คิดว่ามันก็เสียเวลาตัวเราเองและเสียเวลาทีมงานด้วย เพราะพี่อ๊อฟต้องเล็งเห็นอะไรบางอย่าง เราเองก็เห็นอยู่กับมือว่าบทมันเป็นอะไรที่ดีและท้าทายจังเลย พอได้ปรึกษาคุณแม่และครอบครัวแล้วทุกคนก็ไฟเขียวว่าดี”

ห่างละครไปนาน 16 ปี ต้องเคาะสนิมเยอะไหม?
“(หัวเราะ)สิ่งหนึ่งที่ต้องปรับอย่างแรงคือเรื่องเวลา ด้วยความที่งานนักร้องของเราเป็นงานดึกก็ทำให้เรากลายเป็นคนนอนดึกตื่นสายโดยปกติ แต่ว่าพอมาทำละครมันเหมือนกับว่าวิถีทุกอย่างต้องสลับกันหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคนที่ต้องนอน 4 ทุ่ม ตื่น 6 โมง ตื่นแล้วก็ต้องสว่างสดใส มีสติสมาธิมากพอที่จะโฟกัสและทำงานออกมาได้แบบสว่างยิ่งกว่าไฟทางด่วน แล้วโดยบุคลิกย้อยจะมาทำซึมกระทือก็ไม่ใช่ 8 โมงคือต้องพร้อมด่าแล้ว(หัวเราะ) มันไม่มีวันไหนเลยที่เป็นซีนธรรมดา บางวันถ่ายๆ อยู่พี่แดงต้องเชิญกลับบ้านเพราะเราอาเจียนหนักมากคือไม่ไหวแล้ว ขนาดว่าตกรถไฟก็ตกจริงๆ ขากะเผลกถีบคนนั้นคนนี้ จนบางทีก็คิดว่านี่มันละครดราม่าหรือละครบู๊กันแน่เนี่ย(หัวเราะ) แล้วทางอารมณ์ก็ซีเรียสจนบอกพี่แดงว่าต้องปรึกษาเลยเพราะกลัวความดันจะขึ้น ขนาดเจมส์(จิรายุ)ที่เป็นลูกก็ยังหันมาถามว่า…แม่ๆ ทั้งเรื่องนี่ไม่มีอารมณ์ดีบ้างเลยเหรอ(หัวเราะ) เราเองก็สงสัยเหมือนกันว่าย้อยนี่มันไปมีอารมณ์ดีกับเขาบ้างมั้ย พูดเสียงธรรมดาเหมือนกับชาวบ้านคนอื่นคุยกันกับลึกเขาไหม พี่อ๊อฟก็บอกแล้วว่าโดยคาแร็กเตอร์ของย้อยเป็นคนโผงผาง ฉันใหญ่โตที่นี่ พูดคำไหนต้องคำนั้นต้องเป็นอย่างนั้น อย่าได้มาเปลี่ยนความคิดเด็ดขาด”

ไม่พลาดข่าวฮอตแวดวงมายา
แค่กดเป็นเพื่อนไลน์ ข่าวสด@บันเทิง ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ทำการบ้านกับตัวละคร “ย้อย” ยังไง มันดูไกลตัวมากๆ?
“(หัวเราะ)ต้องขอบคุณพี่แมว(เวณิก เจริญปุระ)พี่สาวคนโตก่อน เขาคอมเมนต์อย่างแรกว่าด้วยความที่คนติดภาพเราเป็นนักร้อง ฉะนั้นเราจะต้องลืมเรื่องนี้ไปให้ได้ ผิวพรรณอะไรก็ดีที่เราดูเป็นคนที่จะไม่ใช่มานั่งเป็นแม่ค้าขายของชำก็จะต้องรีเสิร์ชและทำให้ได อย่างที่สองคือไม่มีลูก เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไรกับลูก เราก็ต้องทำการบ้านในจุดนี้ด้วย ซึ่งหลายคนอาจจะดูง่ายแต่มันยาก โชคดีแม่เรามีลูก 4 คนเหมือนกัน ส่วนพี่แมวยิ่งตรงเลยเพราะมีลูกชาย 4 คนเหมือนย้อยเป๊ะๆ แล้วแม่เราเป็นคนรักลูกมากกกก ฉะนั้นคำว่าแม่รักลูกมากมันเข้าในเส้นเลือดเราอยู่แล้วว่าวิถีของแม่เราเป็นแบบไหน เวลาเขาด่าหรือสอนเราในยุคก่อนมันเป็นยังไง ด่าคือด่า ด่าถึงพริกถึงขิงอยู่แล้ว ซึ่งสิ่งหนีก็ซึมอยู่ในตัวเราในระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่ยังไงก็แล้วแต่เราก็ไม่เคยเป็นแม่คนอยู่ดีเพราะฉะนั้นก็ต้องเอาตรงนี้มาผนวกกัน ในฐานะนักแสดงเราก็ต้องทำมันให้จนได้ คีย์เวิร์ดของย้อยคือรักลูกมาก ในขณะเดียวกันก็เจ้ากี้เจ้าการลูกมากเช่นกัน เรื่องนี้จริงๆ ที่พี่อ๊อฟพูดเสมอคือมันไม่มีพระเอกนางเอก ทุกคนเป็นตัวเอกในชีวิตตัวเองหมด ฉะนั้นย่อมมีมุมไม่ดีในตัวของตัวเองกันทั้งนั้น”

 

ได้ข่าวว่าตอนแรกจะเรียนการแสดงเพิ่มเติมด้วย?
“ใช่ค่ะ จริงๆ เราก็ขอคุยกับหม่อมน้อย(หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล)อยากจะเข้าคลาสไปเรียนกับท่าน แต่หม่อมไม่ว่างเพราะท่านต้องไปสอนนิสิตปริญญาโทที่จุฬาฯ แล้วพอจะไปเรียนกับครูเงาะก็บอกว่าไม่กล้าสอนเรา เรารุ่นใหญ่แล้ว แต่เราก็บอกว่าไม่ได้เพราะอยากที่จะปรับปรุงตัวเองด้วยการทำเวิร์กช้อป สุดท้ายคิวไม่ลงตัวเลยเอาวะ! บอกตัวเองว่ามันต้องถ่ายก็คือต้องถ่าย ส่วนเราก็ทำการบ้านในส่วนที่ต้องทำไป จ้างร้อยเล่นล้านให้ได้ แต่แอ๊กติ้งคือน็อตแอ๊กติ้งไง(Acting Not Acting-แสดงให้เหมือนไม่ได้แสดง) อย่างที่บอกว่าพอกระโจนเข้ากองปุ๊บมันก็ต้องเป็นย้อยแล้ว”

แล้วถ้าเป็นชีวิตจริง เราจะเป็นแม่ที่เจ้ากี้เจ้าการกับลูกแบบย้อยไหม?
“(หัวเราะ)คิดว่าก็ต้องมีบ้าง แต่เราคงไม่เต็มร้อยขนาดย้อย หนึ่งคือเรายังสมัยกว่าย้อย รู้ว่าเด็กยุคนี้ต้องเป็นแบบไหน แต่เชื่อว่าแม่ทุกคนสุดท้ายมันจะต้องมีดีเอ็นเอของความอยากให้ลูกได้ดีทุกคน เมื่อเห็นลูกจะออกนอกลู่นอกทาง พ่อแม่ทุกคนก็คงไม่สามารถนั่งนิ่งดูดายได้ อะไรที่จะสอนสั่งหรือว่าพาให้ลูกเรากลับเข้ามาได้ก็ต้องทำ เพราะแม่บนโลกใบนี้รักลูกทุกคน ยิ่งมีลูกชายแล้วลูกชายพาคุณตัวเข้ามาในบ้านมันก็ต้องมีแอ๊กชั่นกันบ้าง แต่สุดท้ายมันก็ได้กำหนดมาแล้วว่ามนุษย์เราไม่สามารถมาวัดคนที่ภายนอกหรืออาชีพเขาได้ ทุกคนมีทั้งดีและร้ายอยู่ในตัวเอง ฉะนั้นไม่มีอะไรมาการันตีได้เลยว่าคนไหนจะไม่มีจุดด่างพร้อยในชีวิต”

สิ่งที่กังวลที่สุดในการมารับบทนี้?
“กลัวคนจะติดภาพว่าเราจะเป็นแม่คนได้หรือเปล่านี่แหละค่ะ เพราะไม่เคยเล่นมาก่อน แล้วก็ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมารับบทแม่ด้วยเพราะไม่สันทัด พูดตรงๆ ว่าเราไม่ได้ซีเรียส เพราะก็ยังมีงานร้องเพลงโน่นนี่นั่นอยู่ ยังมีทางเลือกอื่นที่เราจะทำได้ ไม่จำเป็นที่เราจะต้องลงมาเล่นเพื่อเป็นแม่คน แต่เมื่อเลือกที่รับเล่นแล้ว คนบางคนที่ดูเราอยู่ก็มีส่งมาเหมือนกันว่าไม่อยากให้เราเล่นเป็นบทแม่เลย คือเขายังเห็นภาพเราในบทท้าวศรีสุดาจันทร์ พริ้งคนเริงเมือง เขาก็ยังรู้สึกว่าติดภาพเราที่เป็นนางเอ๊กนางเอกอยู่ ซึ่งเราเองก็กลัวสิ่งนี้เหมือนกัน ถามว่าพอเราถอนตัวเองกลับมาและรู้ว่าเราเล่นเพราะอะไร จึงบอกตัวเองว่าต้องทำให้ดีที่สุดเพราะจริงๆ แล้วเราก็เกิดมาจากการเป็นนักแสดง พ่อเราก็เป็นผู้กำกับ เมื่อเราตัดสินใจแล้วต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะรับบทเป็นอะไรเมื่อคุณเป็นนักแสดงต้องเป็นได้ทั้งหมด ไม่ใช่ว่ามาเล่นไปห่วงไป ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อยู่บ้านเถอะ เล่นแล้วก็ต้องเล่นเลยนี่คือสิ่งเราวางไว้กับตัวเอง คือมันอาจจะมีนิดๆ ที่ว่าทุกวันนี้ก็ยังทัวร์คอนเสิร์ตอยู่แล้วคนจะติดบทเป็นหม่าม้าลูกสี่หรือเปล่า(หัวเราะ) แต่สุดท้ายมันบางเหลือเกิน คงไม่ได้เป็นผลกระทบอะไรกับเรามากมายค่ะ”

เห็นว่าเล่นจนเครียดจนอาเจียนเลย เล่าให้ฟังหน่อย?
ใช่ๆๆ แล้วก็มีรถพยาบาลเข้ามาในกองถ่ายเพราะมีช่วงหนึ่งที่เราเบลอไปเลย เหมือนกับตื่นเช้าติดๆ กันหลายวัน แล้วบทมันไม่มีวันไหนเบาเลย เรื่องของเรื่องคือว่ามีช่วงหนึ่งที่พี่อ๊อฟเขาค่อยๆ ถ่าย ด้วยความที่อยากให้เราผ่อนหนักผ่อนเบา แต่เราเคยชินการทำงานกับหม่อมน้อยที่ถ่ายหลายสิบซีนต่อวัน เลยไปบอกพี่อ๊อฟว่า…ถ่ายได้เลย เต็มที่เลย หนูรับได้ มาเหอะหนักๆ เดี๋ยวเราต้องไปเล่นคอนเสิร์ตงานมันจะได้เดินคล่อง เราชอบทำงานไวไวและหนักๆ ปรากฏพี่อ๊อฟก็จัดมาให้ พอจัดมาปุ๊บอ้วกแตกไปเลย(หัวเราะ) รถพยาบาลมาสแตนด์บาย ด้วยความที่มีซีนร้องไห้สุดขีด ด่าก็สุดขีด ตบตีก็สุดขีด ครบทุกรสแบบไม่มีเบาเลย เราก็เลยแบบ…พี่อ๊อฟกลับไปเป็นแบบเดิมก็ได้นะ ค่อยๆ ถ่ายกันไปก็ได้เนอะ(หัวเราะ) พี่อ๊อฟก็เห็นด้วยเพราะบางวันบทมาที 3-4 หน้าต่อซีน เราทำการบ้านมาอย่างดี แต่มีอยู่วันหนึ่งที่พูดไม่รู้เรื่องเลย เริ่มเครื่องรวน จะด่าก็ไม่ลื่นไหล ตอนนั้นก็ห่วงสุขภาพตัวเองเหมือนกัน เรียกว่าถ่ายละครเรื่องนี้จบก็ไปหาหมอ คือเหมือนจะแบบเป็นโรคหัวใจเบาๆ เพราะมันฮีตตลอดๆ ค่ะ

ดูตัวเองเล่นแล้วเป็นยังไงบ้าง?
“ดูค่ะ ดูไปก็เดินพล่านทั่วบ้านเลย(หัวเราะ) ทั้งตื่นเต้นทั้งกลัว เราไม่รู้ว่าคนดูจะรู้สึกยังไง แล้วเราก็ลุ้นตัวเราเองว่าจะดีมั้ยว้า มันจะออกมาเป็นยังไง ส่วนตัวเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เวลามีผลงานตัวเองทางหน้าก็จะเดินพล่านไปหมด เปิดทีวีไว้แล้วก็วิ่งขึ้นวิ่งลงบ้าน จุดสุดท้ายก็ต้องกลับมาดูแบบรีรันใหม่เพราะอยากจะจับผิดตัวเองว่าดีหรือยัง ถามว่าพอใจกับผลงานของเรามากน้อยแค่ไหน ส่วนหนึ่งก็ต้องให้คนดูตัดสิน แต่ในฐานะนักแสดงทุกวันในการไปทำงานรู้ว่าตัวเองเต็มที่กับทุกๆ นาทีที่ทำ ทีมงานทุกฝ่ายรู้สึกดี ยิ่งพี่อ๊อฟพี่แดงแฮปปี้ เท่านี้ก็เป็นความสำเร็จของตัวเองแล้ว แล้วเราก็ถามตัวเองว่ายังทำได้ดีกว่านี้อีกมั้ย ซึ่งเราก็รู้ว่าเราเต็มที่สุดแล้วค่ะ”

กลับมาครั้งนี้แฟนๆ ก็ชอบใจใหญ่ บอกว่าอยากเห็นพี่ใหม่เล่นละครอีกเรื่อยๆ เป็นไปได้ไหม?
“(หัวเราะ)จริงๆ เราเป็นคนที่ดูเรื่องบทเป็นหลักนะคะ หลังจากนี้ถ้ามีบทดีๆ ติดต่อมาอีกก็ยินดีรับไว้พิจารณา แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูเวลาที่เหมาะสมด้วยกับคิว พูดตามตรงว่าละครมันใช้เวลาเยอะ อย่างเรื่องกรงกรรมเราอยู่กันมา 8 เดือน ซึ่งจริงๆ ละคร 37 ตอนต้องถ่าย 12 เดือนด้วยซ้ำไป ถือว่าทีมงานทำงานเร็วมาก แต่ว่ามันก็กินเวลาเราไปเยอะเหมือนกันเพราะเราก็มีสายอาชีพซึ่งเป็นนักร้องอยู่ ฉะนั้นก็ต้องดูว่าถ้าไปเล่นแล้วดีมั้ย ถ้าไม่ดีก็อย่าไปเลย อย่างน้อยก็ต้องให้มันคุ้มค่ากับการที่เราต้องสละเวลาและท้าทายความสามารถตัวเองด้วยในการที่จะไปทำทั้งทีค่ะ แล้วก็ต้องขอบคุณแฟนๆ ทุกคนมากที่ให้การต้อนรับทำให้รู้สึกหายเหนื่อยเลย ต้องยอมรับว่าเราทุ่มเทกับละครเรื่องนี้มาก พอผลลัพธ์ออกมาเป็นบวกก็ยิ่งดีเหลือเกิน ทั้งที่คนน่าจะเกลียดย้อยด้วยซ้ำที่ด่าเก่งเบอร์นี้ แต่กลายเป็นคนมารักและให้กำลังใจเรา แม้กระทั่งจะเป็นคำด่าก็เป็นด่าแบบมันเขี้ยว เรามองว่ามันเป็นความสำเร็จนะเพราะย้อยมันทำขนาดนี้ถ้าคนไม่ด่าก็แย่แล้ว”

“อีกอย่างละครเรื่องนี้มันมีหลากหลายมิติที่ได้เล่น เลยอยากให้แฟนๆ ติดตาม มันมีเรื่องราวที่รู้สึกว่าชีวิตมนุษย์ขนาดนี้เลยเหรอ เราทำกรรมอะไรไว้ก็จะได้อย่างนั้น พี่อ๊อฟต้องการให้เล็งเห็นถึงสถาบันครอบครัวว่าทำยังไงที่ให้แม่กับลูกหันมาจูนเข้าหากันและพบกันครึ่งทาง แม่เองที่คาดหวังกับลูกมากเกินไปซะจนชีวิตมันสามารถพลิกผันได้ ส่วนลูกเองที่คิดว่าตัวเองจะเอาแต่ใจในแบบที่ฝันหวังเอาไว้ บางครั้งมันก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องสมหวังเสมอไป ควรจะฟังผู้ใหญ่ในการตักเตือนไว้บ้าง สิ่งหนึ่งที่พี่อ๊อฟแฝงไว้คือเรื่องกฎแห่งกรรม ทำกรรมอะไรเอาไว้บาปบุญคุณโทษมันมีจริง และการให้อภัยเป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ” นักแสดงมากฝีมือ กล่าว

ขอบคุณภาพ IG : maicharoenpura, actart_gen

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน