คอลัมน์ ข่าวสดอาทิตย์ใส

จิรณัฏฐ์ จงประสพมงคล

ไม่คิดว่าจะอยู่วงการบันเทิงมายาวนานถึง 14 ปี สำหรับพระเอกหนุ่ม “โอ้”มาริโอ้ เมาเร่อ ล่าสุดมีผลงานละครเรื่อง “บัลลังก์ดอกไม้” ทางช่อง 3 มาให้แฟนๆ ได้ชม

โดยโคจรมาลับฝีมือการแสดงร่วมกับนางเอก “เต้ย”จรินทร์พร จุนเกียรติ ครั้งแรก

“บัลลังก์ดอกไม้” แสดงเป็นอย่างไรบ้าง?

โอ้ – “ละครเรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติก ดราม่าคอมเมดี้ ความยากคือบทเหมือนจะ ง่ายแต่ไม่ง่าย คือต้องเชื่อจริงๆ ในตัวละคร “อนาวินทร์” เนื่องจากอารมณ์จะขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเพราะมีปมในใจเยอะ ด้วยพ่อแม่เสียตั้งแต่เด็กจึงมีแค่ปู่ที่เลี้ยงมา พอโตขึ้นก็อยากพิสูจน์ให้ปู่เห็นว่าก็ทำงานได้ เลยไปเรียนเมืองนอกเพื่อจะกลับมาทำบริษัทที่บ้าน แต่ด้วยความที่ถูกเอาแต่ใจมาแต่เด็กเลยชอบทำอะไรตามใจตัวเอง จนตอนหลังปู่ก็พยายามดัดนิสัย ซึ่งเอาจริงๆ ผมกับอนาวินทร์ห่างไกลกันมาก แต่โชคดีที่เรื่องนี้คุณตู่(ปิยวดี) ผู้จัด ให้นักแสดงไปเวิร์กช็อปกันก่อนเลยง่ายขึ้น”

กับเต้ยเคยร่วมงานกันมาก่อนไหม?

โอ้ – “ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกัน แต่ตอนเด็กๆ เคยถ่ายแบบด้วยกันบ้าง พอมาเจออีกครั้งถือเป็นเคมีใหม่ทั้งคู่ แต่เต้ยเป็นกันเองเลยทำให้เฮฮาเวลาเล่นละครด้วยกัน อีกอย่างพอได้เวิร์กช็อปกันก่อนทำให้เวลา เข้าฉากจริงลื่นไหล รู้ว่าตัวละครแต่ละตัวมี คาแร็กเตอร์ยังไง ความที่บทสนุกเลยพาให้พระนางดูน่ารักดี มีอะไรให้เซอร์ไพรส์ตลอด ไม่ได้เดินเรื่องกันไปเรียบๆ คนดูก็จะได้เห็นพัฒนาการของตัวอนาวินทร์ที่ผมเล่นด้วย”

นอกจากเรื่องนี้ ยังมีละครเรื่องอะไรอีก?

โอ้ – “มี บ่วงบรรจถรณ์ เล่นคู่กับ ใหม่- ดาวิกา ตอนนี้ถ่ายทำไปได้ 60 เปอร์เซ็นต์ ที่ถ่ายนานเพราะยากมาก ตัวละคร “หลาวเปิง” ที่ผมแสดงยิ่งดูห่างไกลตัวผมมากกว่า อนาวินทร์อีก (หัวเราะ) กว่าที่ผมจะเข้าไปสู่คาแร็กเตอร์หลาวเปิงได้ค่อนข้างนานเลย แต่โชคดีที่มีพี่หนุ่ม (อรรถพร) เป็นผู้กำกับฯ คอยช่วยตบตรงนั้นตรงนี้ให้เข้าที่ แล้วก็มีน้องใหม่ที่ได้กลับมาร่วมงานกันอีกก็เต็มที่มาก ส่งอารมณ์ให้ผมตลอด สิ่งที่ยากที่สุดในเรื่องนี้คือภาษา สำหรับผมบทยาวๆ ไม่มีปัญหา แต่ถ้าภาษาไม่เข้าปากอันนั้นคือเรื่องใหญ่เลยจะติดอยู่แบบนั้น ผมเลยต้องใช้วิธีซ้อมพูดอยู่แบบนั้นจนกว่าจะเข้าปากเป็นธรรมชาติ”

เห็นว่าได้ทำอะไรเยอะเลยในละครเรื่องนี้?

โอ้ – “ใช่ครับ ได้ขี่ม้า ฟันดาบ เจิงมวย(มวยโบราณล้านนา) และเต้นลีลาศ อย่างขี่ม้าได้เรียนบ่อยก็ไม่ยาก ลีลาศก็ สเต็ปไม่ได้โหดมากเลยพอไหว แต่ฟันดาบกับเจิงมวยโหดสุดเลย ผมเคยเล่นบู๊แบบปกติ แต่เจิงมวยล้านนามันมีท่าทางเยอะมาก ผมต้องจำสเต็ปให้ได้ มีเวลาซ้อมหน้างาน 2 ชั่วโมง เรียกว่าจะได้เห็นผมในอีกการแสดงหนึ่งเลยครับ”

กลับมาเจอ “ใหม่-ดาวิกา” คนค่อนข้างจับตา?

โอ้ – “พอจะเห็นกระแสอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เกร็งอะไร มีแต่จะพยายามเข้าถึงคาแร็กเตอร์ให้เร็วที่สุด เลิฟซีนในเรื่องนี้มีเยอะอยู่ ความเกร็งมีน้อยลงแต่ก็ยังต้องขอโทษขอโพยกันอยู่ อีกอย่างผมต้องเซฟน้องใหม่ด้วยแม้ว่าจะเล่นจริงก็ตาม”

ปีนี้เหมือนจะได้เห็นผลงานโอ้ต่อเนื่องเลย?

โอ้ – “ใช่ครับ มีละคร 2 เรื่องแน่ๆ คือ “บัลลังก์ดอกไม้” กับ “บ่วงบรรจถรณ์” สำหรับแฟนๆ ที่ถามถึงงานละครก็ดูกันไปยาวๆ แต่คงจะมีละครต่ออีกแต่ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ส่วนงานหนังตอนนี้ยังไม่มี ช่วงนี้ผมมา ลุยละครเยอะเพราะมันคืองานหลัก อีกอย่างผมเพิ่งต่อสัญญากับช่อง 3 ปีที่แล้ว คุยกันไว้ว่าปีหนึ่งต้องมีละครอย่างน้อย 1-2 เรื่อง สำหรับผมก็มองว่ากำลังดี”

“ส่วนงานที่จีนตอนนี้ยังไม่มี ตอนแรกจะมีหนังซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ที่ค่อนข้างใหญ่ แต่พอมีปัญหาเรื่องคิวก็เลยเลื่อนออกไปยาวๆ ก่อน ตอนนี้ผู้จัดการส่วนตัวของผมเลยให้มาลุยละครไปก่อน ซึ่งก็เสียดายเหมือนกันเพราะผมอยากไปเล่นที่โน่นบ้างเพื่อเป็นประสบการณ์ อย่างแฟนคลับที่จีนก็บ่นว่าคิดถึง อยากให้กลับไปเล่นอีก”

พอใจกับชีวิตโดยรวมตอนนี้ไหม?

โอ้ – “พอใจครับ ทุกอย่างค่อนข้างลงตัว แต่ก็ยังมีอะไรบางอย่างที่ผมอยากปรับ เช่นอยากหาเวลาให้ตัวเองมากขึ้น อยากไป ออกกำลังกายให้มากขึ้น ปีนี้ก็ตั้งใจจัดเวลาให้ตัวเองดีขึ้น ช่วงนี้เพิ่งกลับมาออกกำลังกาย อีกครั้ง จริงๆ เป็นคนชอบออกกำลังกาย อยู่แล้ว แต่พอมีช่วงหนึ่งที่ไม่ได้ออกนานๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่กระปรี้กระเปร่า ทำไม ไม่ค่อยแอ๊กทีฟเหมือนแต่ก่อน ผมก็จะเน้นฟิตเนสและวิ่ง อยากสร้างกล้ามเนื้อให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม แต่ตอนนี้ยังไม่ได้อย่างใจเพราะเพิ่งกลับมาเริ่มไม่นานนี้เอง”

วางตัวเองในเส้นทางบันเทิงไว้ยังไงบ้าง?

โอ้ – “ผมมองว่าคงจะยึดงานในวงการบันเทิงเป็นหลักต่อไป เพราะเป็นงานที่รักและโตมากับมัน ที่สำคัญคืองานในวงการทำให้ผมมีทุกวันนี้ด้วย จนถึงวันนี้ 14 ปีแล้วที่อยู่วงการ ไม่เคยคิดว่าจะอยู่มาได้นานและไกลขนาดนี้ แต่ผมเชื่อว่ามันน่าจะมีทางให้ไปได้อีกไกลกว่านี้”

อย่างตอนนี้เรียกว่าหลงรักกับงานการแสดงไหม?

โอ้ – “คิดว่าหลงเสน่ห์ของมันมากกว่าเพราะเป็นงานที่ไม่ซ้ำเลยทุกวัน อย่างเพื่อนบางคนของผมทำงานออฟฟิศค่อนข้างเป็น รูทีน ไม่ได้เจออะไรที่แปลกใหม่มากมาย แต่งานของผมเปลี่ยนทุกวันจริงๆ ลุ้นกันไป ทุกเวลา แต่พองานเสร็จออกมาแล้วกลับมีความสุขมาก”

“งานในวงการของผมไม่มีออฟฟิศ ไม่มีโต๊ะทำงาน มีแค่ตู้ที่บ้านนั่งอ่านบท แล้ว ที่เหลือก็ออกไปลุยเอง ฉะนั้นงานแสดงจึงเป็นการเปิดโลกของผมครับ”

เรียนกับแม่

สําเร็จการศึกษาปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสื่อสารการเมือง พร้อมกับ คุณแม่พันธุ์ทิพา อัครธีรนัย โดยพระเอกหนุ่ม “โอ้”มาริโอ้ เมาเร่อ เผยว่า

“ดีใจมากครับที่จบปริญญาตรีและปริญญาโท ผมจบปริญญาตรีคณะศิลปศาสตร์ สาขาบริหารการจัดการ ใช้เวลาเรียนประมาณ 2 ปีครึ่ง ที่มหาวิทยาลัยเกริก แล้วก็ต่อปริญญาโทที่วิทยาลัยสื่อสารการเมือง ที่เดียวกัน ซึ่งใช้เวลาเรียนปีครึ่งก็จบ ได้เกรดเฉลี่ย 3.2 ส่วนที่แม่มาเรียนด้วยเพราะอยากเรียนเป็นเพื่อนผม อีกอย่างสาขาที่เรียนก็น่าสนใจดี มีรุ่นพี่มีอาจารย์ที่คุ้นเคยกันอยู่ที่นั่น”

ถามถึงเหตุผลในการเรียนปริญญาโททางด้านสื่อสารการเมือง พระเอกหนุ่มเผยว่า “เหตุผลที่เรียนด้านนี้ เพราะผมมีความสนใจในด้านธุรกิจ เพราะถึงจะเป็นสาขาสื่อสารการเมือง แต่ก็มี เรื่องของการตลาดอะไรต่างๆ ด้วย ก็เลยสนใจและสามารถนำมาปรับใช้กับธุรกิจได้ในอนาคต พอได้ยินคำว่าการเมืองมันไม่ใช่แค่การเมืองอย่างเดียว มันมีทุกอย่างอยู่ในนั้น อย่างอาจารย์ที่สอนผมก็เขียนหนังสือที่เกี่ยวกับการเอาหลักการตลาดมาอยู่ในการเมืองด้วย”

หลายคนจะสงสัยว่าโอ้เอาเวลาที่ไหนไปเรียน มาริโอ้เผยว่า “คือถ้ามีเวลาว่างผมจะรีบเข้าไปเรียนเลย โดยจะมีแม่ช่วยตามงาน พรีเซ็นต์ และทำธีสิส ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าวันหนึ่งจะได้เรียนกับแม่ สนุกมากครับ เพราะแม่ผมค่อนข้างวัยรุ่น บวกกับแม่เป็นคนเฮฮา บรรยากาศการเรียนเลยดีมากๆ ได้ความรู้และสนุกด้วย”

“ส่วนอาจารย์และเพื่อนๆ ก็ช่วยในห้องเรียน เพราะบางทีผมไม่มีเวลาบ้างหรือบางทีเวลาไม่ตรงกันบ้าง อาจารย์ก็จะช่วยตามงาน ยอมรับค่อนข้างเหนื่อยในเรื่องการตามงาน แต่คุณแม่ผมช่วยเยอะมาก”

“ส่วนแพลนเรียนต่อปริญญาเอกคงยังไม่มี จากนี้คงจะลุยงานเต็มที่ก่อนครับ” มาริโอกล่าวทิ้งท้าย

คบหาดูใจ”จันจิ”แต่ขอละคำว่า”แฟน”

“โอเคครับ ความสัมพันธ์อาจจะไม่ได้ชัดเจนมาก แต่ผมก็ยอมรับมาตลอดว่าคบหาดูใจกับคนนี้อยู่ ส่วนอื่นก็ยังไม่รีบ” พระเอกหนุ่ม “โอ้”มาริโอ้ เมาเร่อ เปิดหัวใจที่เป็นสีชมพู ยอมรับกำลังคบหากับ “จันจิ”จันจิรา จันทร์พิทักษ์ชัย

และเปิดใจต่อว่า “ก็เข้าใจที่คนอยากรู้ว่าตกลงสถานะคืออะไร จริงๆ ไม่ได้ปิด ไปไหนก็พาไป มีคนถ่ายรูปได้ก็ไม่ว่าอะไร แค่ไม่พร้อมพูดคำนั้น ก็ขอละไว้แล้วกัน”

แสดงว่าไม่ได้ซีเรียสกับคำจำกัดความว่าแฟน พระเอกหนุ่มพยักหน้ารับ “ใช่ครับ แต่คำว่าแฟนเนี่ยเป็นคำ ที่คนอื่นเขาอยากได้ยิน คือถ้าได้ยินผมพูดคำนี้ อาจจะสบายใจ (หัวเราะ) แต่สำหรับผมที่เป็นอยู่แบบนี้โอเคแล้ว เพราะ ก็ปฏิบัติกับเขาอย่างดี ดูแล ให้เกียรติ พาไปในทุกที่ที่ผมอยากไป เอาจริงๆ มั้ย ไม่ต้องบอกหรอกว่าเป็นอะไร แต่คนอื่นก็รู้กัน บางคำไม่ต้องพูดออกมา แค่ให้รู้ว่าตอนนี้กำลังคบหาดูใจกับคนนี้อยู่ เพียงแต่ขอละคำที่ทุกคนอยากได้ยินไว้แล้วกันนะ”

ว่าแต่ “จันจิ” เข้าใจไหม “เข้าใจครับ เขาน่ารักตรงนี้แหละ ไม่ได้ซีเรียสกับอะไรพวกนี้ ทั้งที่ ผมก็รู้ว่าเขาอึดอัด เพราะโดนกระแสโจมตีต่างๆ นานา ผมก็จะมีหน้าที่คอยให้กำลังใจ อีกอย่างคือเขาเป็นคนที่ดี ทำงานตั้งแต่เด็ก ตั้งใจ ทำมาหากิน อะไรที่เขาทำผมก็ยินดีสนับสนุน ความสู้และไม่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ ของเขาคือสิ่งที่ผมประทับใจ นอกจากนี้เขายังเป็นคนจิตใจดี รักสัตว์ด้วยครับ”

โรแมนติกบ้างไหม หนุ่มโอ้ส่ายหน้า “ไม่เลย อาจมีบ้างตามวาระ จนถึงวันนี้คุยกันมา 2 ปีแล้ว ที่บ้านผมก็โอเค ไม่ว่าอะไร แค่บอกให้คบไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อน ถามว่ามองถึงอนาคตไกลๆ หรือยัง ยังเลย แค่มีความสุขกับทุกวันนี้ไปก่อนก็ดีแล้ว”

สำหรับมุมมองความรัก เจ้าตัวว่า “ความรักยิ่งใหญ่มาก มีได้ทุกที่อยู่ที่ตัวเราจะมองเห็นหรือเปล่า เชื่อว่าคนเราอยู่โดยไม่มีความรัก ไม่ได้ ถ้าในชีวิตเกิดมาไม่เคยรัก แบบนั้น จะเหมือนไม่มีโฟกัสในชีวิต ง่ายที่สุดอย่างน้อยคือต้องรักตัวเองให้เป็น”

รักนะ..นักบิด

หลงใหลเสน่ห์รถมอเตอร์ไซค์มาแต่ไหนแต่ไร ณ วันนี้ก็ยังเป็นอยู่ โดยหนุ่ม “โอ้-มาริโอ้” เล่าว่า “ผมก็ยังขี่อยู่ปกติ บางคนอาจจะไม่เข้าใจว่าเสน่ห์การขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ตรงไหน ร้อนก็ร้อน ฝุ่นก็ฝุ่น เมื่อยก็เมื่อย ลำบากก็ลำบาก แต่ทั้งหมดนี้คือเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่”

“ขับรถยนต์อาจจะสบาย ขี่มอเตอร์ไซค์อาจจะลำบาก แต่ เห็นโลกไม่เหมือนกัน คนขับรถยนต์คงไม่ได้กลิ่นต้นไม้ ไม่ได้กลิ่นขี้หมู ไม่ได้กลิ่นธรรมชาติสองข้างทาง แต่คนขี่มอเตอร์ไซค์รับรู้ ได้หมด และจะรู้สึกว่าเมืองไทยสวยกว่าเดิมหลายสิบเท่า”

“แล้วคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์เหมือนได้คอนโทรลเครื่องด้วยตัวเองจริงๆ เพราะเครื่องมันอยู่ใต้หว่างขา ยิ่งพอไปถึงจุดหมายปลายทางก็ยิ่งมีความสุขและคุ้มค่ากับการเดินทาง แต่ผมไม่ถึงขนาด ขี่มอเตอร์ไซค์ไปทำงานตลอดขนาดนั้น บางทีไปต่างจังหวัดไกลๆ ก็ไม่ไหว แต่การขี่มอเตอร์ไซค์เป็นงานอดิเรกที่ผมชอบให้เวลากับมัน ที่สำคัญคือเรื่องเซฟตี้ต้องมาอันดับหนึ่ง”

“ขี่มอเตอร์ไซค์ก็เหมือนเนื้อหุ้มเหล็ก ฉะนั้นคนขี่ต้องเซฟ ทุกอย่าง ผมลงทุนซื้ออุปกรณ์อย่างดี เพราะต้องใช้ดูแลร่างกายและชีวิตของเรา และต้องไม่ประมาทเวลาขี่ครับ” นักบิดหนุ่มกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน