‘ฟ้าใส’ เปิดใจโต้ปม ‘นางงามไทย หน้าฝรั่ง’ ลั่นหัวใจเป็นไทย จะทำให้ดีที่สุดบนเวทีโลก

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ฟ้าใส น.ส.ปวีณสุดา ดรูอิ้น มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 สาวลูกครึ่งแคนาดา พร้อมด้วยแคทรีโอนา เกรย์ มิสยูนิเวิร์ส 2018 ร่วมให้สัมภาษณ์ภายหลังการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 รอบตัดสินเมื่อค่ำคืนวันที่ 29 มิ.ย.

ฟ้าใส กล่าวถึงการที่ตัวเองและแคทรีโอนาเป็นนางงามนักสู้ ประกวดมาหลายเวทีเหมือนกันว่า “หนูประกวดมาหลายเวทีมาก แต่ความฝันของหนูคือมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ตอนที่ประกวดครั้งแรกแล้วไม่ได้ก็ผิดหวังหมือนกัน แต่ก็กลับมาคิดว่าเรายังดีไม่พอหรือ ยังตามความฝันได้ไม่ดีพอหรือ ก่อนจะกลับมาค้นหาตัวเองว่าอะไรที่เป็นจุดแข็งของเรา อะไรที่เราคิดว่าเราสามารถขึ้นประกวดครั้งนี้แล้วบอกว่านี่แหละคือสิ่งที่ฉันเป็น”

“ถ้าเราดึงจุดเด่นของเราออกมาได้ ก็สามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่กดดันว่ามีแต่คนสวย คนเก่ง แต่เราต้องรู้ว่าเราเป็นแบบไหน มาที่นี่เพื่ออะไร น้องๆ ที่อยากมาประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ คุณต้องกล้าลงมือทำ มุ่งมั่นต่อเป้าหมาย เชื่อว่าจะประสบความสำเร็จแบบที่ฟ้าใสประสบความสำเร็จในตอนนี้” ฟ้าใสเผย

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีคนแสดงความคิดเห็นว่า เป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ แต่มีเค้าโครงหน้าเป็นลูกครึ่งฝรั่ง ฟ้าใส กล่าวว่า “ใครจะคิดอย่างไรก็ได้ แต่ตราบใดที่ฟ้าใสรู้ว่าฟ้าใสเป็นคนไทย ฟ้าใสพูดภาษาไทย รู้ว่าตัวเองมีความเป็นไทยอยู่ในหัวใจ หัวใจของฟ้าใสเป็นไทย ดังนั้นสิ่งใดที่ฟ้าใสทำ ฟ้าใสก็รู้ว่าสามารถเป็นตัวแทนของประเทศไทยและของคนไทย เพื่อไปทำสิ่งที่ดีที่สุดที่ภาคภูมิใจที่สุดบนเวทีระดับโลก เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้คนไทยได้อย่างแน่นอน”

ด้านแคทรีโอนา เกรย์ กล่าวว่า มีความสุขมากที่ได้มาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่ 6 แล้ว และได้มาเห็นการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ซึ่งทางทีพีเอ็นจัดได้สวยงามยิ่งใหญ่มาก จึงเชื่อมั่นในเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์และเชื่อมั่นในตัวฟ้าใสมาก

มิสยูนิเวิร์ส 2018 กล่าวต่อว่า แต่ละประเทศมีปัญหาแตกต่างกันไป ตนคิดว่าปัญหาเรื่องการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ หากเรามีโอกาสช่วยเหลือเด็กๆ ให้ได้รับการศึกษาตั้งแต่ต้นก็จะมีประโยชน์ โดยเฉพาะผู้หญิงเราถ้ามีการศึกษาเราจะสามารถรวมตัวกันทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ ฟ้าใส กล่าวเสริมว่า ตอนนี้รู้สึกสนใจที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีประเด็นว่าผู้หญิงลุกขึ้นมาบอกว่าการทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่ส้นสูงหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งใจมากแค่ไหน และตอนนี้ตนก็มีแคมเปญที่เกิดขึ้o แล้วที่แคนาดา เด็กๆ ได้รับการสนับสนุน ทำให้เขาได้รับแรงบันดาลใจ มีแรงที่จะไปทำสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ แน่นอนว่าการช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ต้องใช้เงิน และการมาอยู่ตรงนี้สามารถช่วยเหลือได้มากกว่า
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน