มาร์กี้-ราศรี เผย มีก้า-มีญ่า ไม่พร้อมรับงาน กลุ้ม กลัวแสงแฟลชเข้าตา

เป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่น่ารัก สำหรับดาราสาว มาร์กี้-ราศรี บาเล็นซิเอก้า จิราธิวัฒน์ ได้ให้สัมภาษณ์ในงาน Amarin Baby & Kids Fair ที่ ฮอลล์ 98-99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ถึงเรื่องการรับงานของน้องมีก้า มีญ่า ว่ายังไม่พร้อมรับงานเพราะกังวลเรื่องแสงเข้าตา พร้อมทั้งแสดงความยินดีกับมิว นิษฐาถูกเซอร์ไพรส์ขอแต่งงาน

ตั้งแต่คบกันมา มีได้ออกงานอีเวนต์?
“น่าจะอีกสักพักหนึ่ง เพราะว่าเขายังเด็กอยู่ แล้วกลัวติดหวัด หรือว่าแสงแฟลช แสงไฟอย่างนี้มันอาจจะส่งผลต่อสายตา กลัวเรื่องของสายตา เขาอาจจะยังไม่แข็งแรงพอที่จะแบบได้รับรู้ โดนแสงขนาดนั้นหรือเปล่า เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ แต่เราก็เออเอาให้โตอีกสักนิดนึงก่อน”

คิดเอาไว้ไหม ว่าสักกี่ขวบ?
“คือ บอกไม่ได้ อย่างน้อยให้เขาแบบ สายตาเริ่มโฟกัสได้ดีแล้ว สักประมาณ 5 เดือนอะไรอย่างนี้ 5-6 เดือนกำลังดีเลย แต่นี่กำลังเพิ่ง 3 เดือนเอง จะบอกนะว่า พี่ฟลุ๊กไม่ได้รับงานเยอะอะไรอย่างนั้นนะคะ คงเอาเป็นงานที่แบบใหญ่จริงๆ ใช่จำเป็นจริงๆถึงจะแบบไป”

มีติดต่อมาเยอะไหม?
“มีค่ะ ถ้าสมมติว่าไป อาจจะแบบ อย่างตัวที่เป็นพรีเซ็นเตอร์เราก็จะไปอันนั้นอย่างเดียว มีจุบจิบค่ะ”

มีสำหรับลูก หรือทั้งครอบครัว?
ทั้งครอบครัวค่ะ

มีไปถ่ายงานพรีเซ็นเตอร์หรือยัง?
“ไปถ่ายมาแล้วค่ะ ถ่ายไปแล้วด้วย ก็เดี๋ยวน่าจะได้เห็นประมาณน่าจะประมาณกันยานะคะ ถ้าออกมาก็ประมาณนี้แหละกันยาเป็นต้นไป เพราะว่าน่าจะประมาณ 6 เดือน 7 เดือน”

งานแรกของน้อง ตัดสินใจยากไหม?
“ใช่ค่ะ ก็นานเหมือนกันนะ ที่จริงติดต่อมาตั้งแต่แบบตอนที่เรายังท้องอยู่เลย เพิ่งทัองได้แบบไม่กี่เดือน เพราะตั้งแต่ติดต่อมาก็ใช้เวลาคุยนานเหมือนกัน โอเค งานผมเป็นแบบไหน ยังไง อย่างที่บอกว่า พอตั้งถ่ายแบบ 3 เดือน ก็จะมีคนคุยว่า แสงเป็นยังไง ทำงานเราก็จะรู้ใช่ไหมคะ แสงบางทีถ่ายโฆษณาแสงมันแรง ไฟเยอะ ไฟแรง ตอนถ่ายภาพนิ่งแฟลชใหญ่อย่างนี้เราก็เลยคุยว่าขอเป็นแสงธรรมชาติส่วนใหญ่นะ ขอเป็นถ่ายแบบเป็นนอกสถานที่ใช้แสงธรรมชาติให้ได้มากที่สุด เขาก็โอเค เพราะเขาก็เคยทำงานกับเด็กอยู่แล้ว ทีมงานค่อนข้างที่จะแบบโปรเฟสชันแนลค่ะ”

พาน้องขึ้นเครื่องบินครั้งแรกเลย?
“ไปเกาะกูดค่ะ ก็ดีนะ ตอนแรกเราก็กังวลอยู่นิ่งๆ ชั่วโมงสี่สิบห้านาที เขาจะแบบอยู่ได้ไหม แล้วเราจะทำยังไงให้เขาหลับ เวลาหลับกล่อมก็ต้องแบบยืนบ้าง เดินบ้าง อันนี้แบบนั่งอยู่อย่างเดียว แต่เขาก็ค่อนข้างร่วมมือได้ดีเหมือนกันนะคะ อาจจะค่อนข้างที่แบบเป็นเครื่องบินเล็ก มันเหมือนเปลไกวไปด้วยในตัวอะไรอย่างเนี่ย ก็ให้เขากินนมก่อนขึ้นเครื่อง แต่ก็มีแบบมีร้องบ้างนิดหน่อย แต่น้อยมาก ร้องให้กินนม เขาก็หาย”

คุยกับไหม ว่าใครต้องดูแลตอนไหน?
“คุยแหละ สะพายเป้ที่เป็นเป้อุ้มเด็กค่ะ แล้วก็แยกไปเลย เพราะกี้อุ้มมีญ่าก็แบบน้ำหนักเขาน้อยกว่า อุ้มมีก้าไม่ไหวเค้าน้ำหนัก 6 โลแล้วอ่ะ กี้ก็อุ้มมีญ่า พี่ป๊อกอุ้มมีก้า แล้วก็ต่างคนก็ต่างดูแลของตัวเองเนี่ยแหละค่ะ เราก็จะมีอะไรให้รู้มากขึ้น อย่างจูจุ๊บ ต้องมีที่เกี่ยวจูจุ๊บไว้หน่อยเพราะว่าบางทีมือนึงเราจับนั่นจับนี่ จุ๊บหลุดปากหล่นพื้น ฟลาวอีก ร้องอีก จะเอาจุ๊บอีก จุ๊บหล่นไปแล้วจะหยิบมาเข้าปากก็ไม่ได้อีกจะเริ่มรู้แล้วว่า โอเคต้องมีอันนี้นะ สำรองนะ”

มีปรึกษาหมอไหมขึ้นเครื่อง?
“ที่จริง หมอบอกว่าขึ้นเครื่องได้แต่แบบ คือเครื่องมันมี เขาเรียกว่าไรอ่ะมันปรับความดันอากาศ และสภาพอากาศที่มันแบบเราอยู่คนบนพื้นดินอยู่แล้ว แต่แค่ว่าความดันอากาศอาจจะต้องให้เขากินนมหรือว่ากินจุ๊บตอนระหว่างขึ้น แล้วก็ลง ให้เขาไม่เจ็บหูค่ะ ก็จะมีการแนะนำ แต่จริงๆเด็กออกจากโรงบาลได้ไม่กี่วันก็คือ สายการบินเขาก็รับขึ้นได้แล้ว”

ผ่านฉลุยไหมสำหรับการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกของน้อง?
“ถือว่าใช้ได้ เอาทีล่ะสเต็ปดีกว่าแบบว่าไม่ต้องไกลมาก จริงๆถ้าเขาหลับอ่ะ ถ้าเขาหลับคือดีสุด แต่บางทีเขาจะไม่ได้หลับ”

ด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังด้วย?
“มันไม่ได้ดังขนาดนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าเสียงดังอ่ะดี เขาชอบ เขาชอบเสียงที่มันแบบหึ่ม หึ่ม แบบที่มัน บอกไม่ถูกอ่ะ เสียงแบบหึ่ม แล้วก็เครื่องบินเล็กมันก็จะแบบไกว่ๆหน่อย เขาชอบ เลยไม่รู้ว่าถ้าไปเครื่องบินใหญ่ จริงๆเนี่ย มันเงียบกว่า แล้วมันนิ่งกว่าจะเป็นยังไง”

ทำไมกี้ถึงเลือกพาลูกไปพักผ่อนทะเลหรือว่าน้องชอบบรรยากาศแบบนั้น?
“คือที่จริงกี้ชอบอะไรที่มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แล้วก็เป็นสถานที่ที่เขาเหมือนได้เจออากาศธรรมชาติ ได้สัมผัสกับธรรมชาติ ถ้าบินไปอันนี้มันชั่วโมงสี่สิบห้านาทีมันก็เท่ากับไปฮ่องกงนี่แหละ แต่ไปฮ่องกงเราก็ไปกิน ไปช้อป ซึ่งเด็กๆเขาไม่ได้อะไรจากตรงนั้นค่ะ เราไปช้อปเขาก็ไม่ได้อะไร เราไปกินเค้าก็ไม่ได้กินกับเราก็เลยรู้สึกว่าเราเลือกอะไรที่เขาได้มีประสบการณ์ในการสัมผัสนะ กี้ไม่รู้เหมือนกันนะว่าได้พัฒนาการการเรียนรู้หรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่กี้ว่าแค่เขาได้ไปสูดอากาศได้สัมผัสสิ่งของที่เป็นธรรมชาติ น้ำทะเล ราย หญ้าอย่างเนี่ยค่ะ ก็น่าจะดีกว่า”

ครั้งนี้ครั้งที่ 2 แล้ว?
“ครั้งที่ 2 ครั้งแรกนั่งรถไป”

แต่ครั้งแรกคนก็วิจารณ์กันเยอะว่าน้องยังเด็กอยู่?
“ก็ได้อ่านบ้างนะ แต่จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง(หัวเราะ) ไม่ซีเรียสก็เข้าใจนะเพราะบางคนก็ เขาเรียกว่าไรอ่ะ หวังดี ก็อยากจะเหมือนเขาก็อยากจะให้ดีที่สุดนั่นแหละ แต่ละคนก็มีวิธีที่แตกต่างกันออกไป แล้วเราก็เข้าใจ เขาอาจผ่านประสบการณ์ บางคนผ่านประสบการณ์ที่ไม่ดีกับสถานที่แบบนี้ คนเคยมีปัญหากับสถานที่แบบนี้ก็เลยอยากจะเตือนเรา มันมีความเป็นไปได้ เพราะว่าที่จริงการเลี้ยงลูกมีความเป็นไปได้ที่แบบที่มากมายหลายแบบ แต่ละคนก็มีประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป เขาก็คงอยากที่จะมาแชร์ประสบการณ์ของเขาว่า มันสามารถเป็นแบบนี้ได้นะ อีกคนก็สามารถเป็นแบบนั้นได้เหมือนกัน ก็ลองเอาสิ่งที่คนมาบอกมาปรับใช้ดูว่าเป็นยังไงกับลูกของเรา”

มาร์กี้-ราศรี

อยากให้เขาสัมผัสธรรมชาติ

ได้ดูไหมกับการมาสอนการเลี้ยงดูลูกหรือแค่แนะนำ?
“อาจจะ เพราะว่ากี้ไม่ได้ให้ทุกๆคนเห็นทุกอย่างว่าทำอะไรบ้าง(หัวเราะ) เพราะว่าจริงๆโซเชียลเราก็เลือกได้นะว่า อะไรที่เราอยากให้เห็นอะไรที่เราอยากเก็บไว้เป็นส่วนตัว กี้ก็ให้เห็นตามที่แลบกี้อยากให้เห็น”

น้องไป 2 รอบก็ไม่ได้แบบป่วยกลับมา?
ไม่ป่วยค่ะ แต่ที่จริงเขาป่วย กี้ก็ไม่ซีเรียสอะไรนะ เพราะว่าคนเราก็มีป่วย ป่วยก็หายได้ เป็นก็หายได้เหมือนกัน”

ก็ต้องเตรียมรับมือกับกระแสดราม่า?
“อืม ก็ไม่น่าจะนะคะ อาจจะด้วยความที่เรา เราเข้าใจ สมมติว่าลูกเราป่วยแล้วเพื่อนเราไป เราก็อาจจะต้องมีเตือนเพื่อนว่าระวังนะ ระวังยุงนะ ช่วงนี้หน้าฝนนะ เอาไปเลยดีไหม เราก็เป็นห่วงเช่นเดียวกันแต่เขา ก็เป็นสิทธิ์ของเขา ที่จะเชื่อ หรือว่าจะไม่เชื่อ เขาจะไปหรือว่าไม่ไป มันก็เป็นสิทธิ์ของพ่อๆแม่ๆแต่ละคน”

เห็นได้ไปแสดงความยินดีกับมิว?
“เซอร์ไพรส์ไหม ก็กลางๆ ทั้งเซอร์ไพรส์ด้วย คือเรามีกลิ่นๆอยู่แล้วอ่ะสเมล มีความรู้สึกว่าน่าจะเร็วๆนี้แหละ แต่ก็คิดว่าหรือต้นปีหน้าแล้วแต่งปลายปีหน้าหรือเปล่า เราก็มีแบบคิดๆ เราก็คุยกับพี่ป๊อก พี่เซนต์เป็นเพื่อนกับพี่ป๊อกอยู่แล้ว แล้วพี่ป็อกก็จะคุยว่าคนนี้แน่นอน แล้วเราก็บอกแล้วเมื่อไหร่ก็มีการพูดคุยกัน ก็แอบดีใจ”

เขามีการแอบปรึกษา ป๊อกไหม?
“ไม่มี พี่เซนต์ไม่ได้มีปรึกษาพี่ป๊อกค่ะ แต่ของมิวหลังจากนั้นก็จะมีแบบ ต้อง จัดงานแต่งมันต้องทำยังไง อะไรอย่างเนี่ย ต้องทำยังไง ต้องเริ่มจากตรงไหน ต้องยังไง แล้วเรื่องงานยังไง ก็จะมีคุยกับมิวบ้าง”

มิวก็ได้คุยกับเราแล้ว?
“จุบจิบ มองขาด มองขาด ก็อาจจะเป็นเพราะว่าพี่ป๊อกสนิทกับพี่เซนต์ แล้วก็รู้ว่าพี่เซนต์เป็นคนยังไง มาแนวไหน แล้วเราก็แบบค่อนข้างที่จะดู แล้วรู้ว่าเขาอยู่ด้วยกันแล้วเขามีความสุข แล้วเขาอยู่ด้วยกันมันไปในทิศทางที่ดี เราดีใจค่ะ”

เร็วเกินไปไหม สำหรับเรื่องแต่งงาน?
คือที่จริงความรักมัน ไม่มีอะไรมาเป็นเกณฑ์ที่สามารถวัดได้ว่าอะไรเร็ว อะไรช้า อะไรดี อะไรไม่ดี เพราะว่าแต่ละวันมันมีความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ สำหรับกี้นะ ถ้าเราอยู่กับความกลัวอ่ะ กลัวที่อนาคตจะไม่ดี กลัวว่าในอนาคตมันอาจจะเปลี่ยนไปในทางที่แบบไม่ดีไหม ถ้าเราอยู่กับความกลัวมันก็จะไม่มีอะไรที่คืบหน้า แล้วชีวิตเราก็จะย่ำอยู่กับที่เดิมแล้วก็ถ้าเราทำอะไร ส่วนตัวกี้ ถ้ากี้ทำอะไรจะค่อนข้างกล้าตัดสินใจ แล้วก็มั่นใจว่าทำดีที่สุด ถ้าเราทำดีที่สุด อีกฝ่ายทำดีที่สุด แต่ความคิดที่มันเป็นบวกค่ะ ถ้าในอนาคตมันเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้น ยังน้อยเราก็ไม่เสียใจ เพราะเราได้ทำดีที่สุดแล้วซึ่งมันก็ไม่ผิดนะ ถ้าเกิดสมมติในอนาคตจะมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน มันก็มีความเป็นไปได้ แต่มันก็คือชีวิตเนี่ยแหละ เราก็ต้องมีดี มีร้ายมีผิดหวัง สมหวัง ผสมกัน เกิดมาชีวิตหนึ่งได้เจอแต่อะไรเดิมๆ ก็แต่ละคนก็เลือกไม่เหมือนกันนะ”

ขอบคุณรูปภาพ : margie_rasri

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน