TERMINATOR : DARK FATE

ฅนเหล็ก : วิกฤตชะตาโลก

คอลัมน์ หนังเด่น

โดย…กฤษฎา

TERMINATOR : DARK FATE

น่าจะเป็นเพราะโครงเรื่อง ตัวละครหลัก และผู้แสดง ที่ทำให้ Terminator : Dark Fate เป็นเหมือนหนังภาคต่อของ The Terminator และ Terminator 2 : Judgment Day

TERMINATOR : DARK FATE TERMINATOR : DARK FATE

หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า เป็นเหมือนหนังภาค 3 ไม่ใช่หนังภาค 6

ก่อนไปถึงภาค 6 ขอกล่าวถึงภาคแรกและภาคสอง ในฐานะที่เป็นต้นกำเนิด และในขณะเดียวกันก็เป็นหนังที่มีบทบาทและความสำคัญต่อพัฒนาการของหนังนิยายวิทยาศาสตร์

TERMINATOR : DARK FATE TERMINATOR : DARK FATE

The Terminator ออกฉายเมื่อปี 1984 ด้วยเงินลงทุนสร้างเพียง 6 ล้านดอลลาร์ ทำให้สามารถเรียกได้ว่าเป็นหนังเล็กๆ เรื่องหนึ่ง แต่หนังเล็กๆ เรื่องนี้ทำรายได้สูงถึง 13 เท่าของทุนสร้าง ซึ่งนำไปสู่การมีภาค 2 ในอีก 7 ปีต่อมา

Terminator 2 : Judgment Day ก้าวกระโดดขึ้นไปอีกหลายระดับ ตัวเลขทุนสร้างพุ่งทะลุ 100 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นหนังที่ลงทุนสูงสุดในประวัติศาสตร์ (ถึง ณ ขณะนั้น)

TERMINATOR : DARK FATE

ครึ่งหนึ่งของงบประมาณการสร้างใช้จ่ายเป็นค่าการผลิต และประมาณ 10% ของงบส่วนนี้เป็นค่าจ้างทีมงานสร้างภาพพิเศษด้วยคอมพิวเตอร์

ทีมงานหลักสร้างสรรค์งานสร้างภาพพิเศษคือ ไอแอลเอ็ม (Industrial Light and Magic) ผู้นำแห่งวงการ

TERMINATOR : DARK FATE TERMINATOR : DARK FATE

แม้งานสร้างภาพพิเศษใน Terminator 2 มีความยาวรวมแล้วเพียง 5 นาที ในหนัง (ใช้เงินทำงานด้านภาพพิเศษเฉลี่ยนาทีละ 1 ล้านดอลลาร์) แต่กลายเป็นหลักเขตสำคัญในประวัติศาสตร์

แม้ผ่านไป 28 ปี ผมยังจำได้ดีว่าภาพที่ได้เห็นในหนังนั้นมันมหัศจรรย์ขนาดไหน

มีอย่างน้อย 2 ภาพ ที่ผมจัดให้เป็นภาพมหัศจรรย์ และจำติดตา ภาพแรกเป็นภาพหุ่นยนต์เดินทะลุลูกกรง อีกภาพเป็นตอนที่คนเหล็กเปิดผิวหนังออกแล้วเห็นชิ้นส่วนเครื่องจักร ไม่ใช่เลือดเนื้อ

TERMINATOR : DARK FATE

Terminator 2 ยังทำสถิติการขายในตลาดนอกอเมริกา และขายลิขสิทธิ์ฉายช่องทางอื่น (เช่น ทีวี) ได้เงินเกือบเท่าต้นทุนสร้าง ตั้งแต่หนังยังไม่ฉายโรง

ในด้านคุณภาพ หนังได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ในหนังภาค 2 ที่ดีที่สุด ซึ่งผมเห็นด้วยโดยปราศจากข้อโต้แย้ง

TERMINATOR : DARK FATE

แน่นอนว่าหนังที่เป็นเหมือนภาค 3 เรื่องนี้ไม่โดดเด่นและมีคุณภาพทัดเทียม ภาค 2 แต่การสร้างเรื่องราวตัวละคร และดาราผู้แสดงอาจทำให้รู้สึกเหมือน ได้ย้อนวันเวลาเก่าๆ

การใส่คำพูดอย่าง “I’ll be back” น่าจะยืนยันว่าอยากให้คนดูรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ

หนังมีความตื่นเต้น และทำให้รู้สึกว่า พอมีความน่าดูและน่าติดตามอยู่บ้าง ถ้ามองว่านี่คือหนังภาค 6 ก็นับว่าน่าพอใจแล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน